วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

#มินเจรายปักษ์ 6th THEME : P H O N E 2/2

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง!


"จำได้ว่าเอาสายโทรศัพท์ออกแล้วนี่นา"


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง


"ใครต่อเข้าไปใหม่วะ หรือเราต่อเอง? ก็ไม่น่า"


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง


"เออๆๆๆๆๆ ไปแล้วๆๆๆ"

"คิมจงฮยอนพูดสายครับ"


"......."


"แปลกแฮะ คราวนี้ไม่วางสายใส่ละเหรอ" จงฮยอนแกล้งพูดขำๆ เผื่อว่าเขาจะวางสายไป


"นี่คุณ มีอะไรก็พูดสิครับ ผมตรัสรู้เองไม่ได้หรอกนะ"


"........"


"คุณครับ พูดหน่อยเถอะ" ไม่วางสาย แต่ก็ไม่พูดอะไร จงฮยอนเหลือบมองนาฬิกา พบว่ายังเหลือเวลาเพียงพอสำหรับเดินทางไปทำงาน จึงยังไม่คิดที่จะวางสาย


เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าของสายนี้เป็นใคร


"คุณไม่พูดผมก็ไม่วางอ่ะเอาสิ"


"........."


"ห้ามคุณวางด้วย อย่าวางนะ มาคุยกันก่อน"


".........."


จงฮยอนถอนหายใจเมื่อยังไม่ได้ยินเสียงพูดตอบ เป็นคนที่จะมองว่าโรคจิตก็ไม่น่ากลัวถึงขั้นนั้น นอกจากโทรศัพท์แล้วก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับชีวิตเขาเลย


"คุณครับ ถ้าไม่พูดผมจะไปเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ้านแล้วนะ" จงฮยอนพูด เขาคิดว่าเขาควรจะเปลี่ยนเบอร์บ้านตั้งนานแล้ว แต่เขาอยากรู้มากกว่าว่าเจ้าของสายที่โทรมาทุกเช้าเป็นใคร


ถ้าปลายสายไม่พูด... คราวนี้แหละ เขาจะไปเปลี่ยนเบอร์บ้านจริงๆ


"อย่าเปลี่ยนนะ"


คราวนี้เป็นจงฮยอนเองที่เป็นฝ่ายเงียบ เพราะเสียงจากปลายสายดูคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกแล้วนึกอีกก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร


"คุณเป็นใครครับ" จงฮยอนถาม


"ผมไม่บอกได้มั้ย"


"โอเค ไม่บอกก็ไม่บอกครับ"


"...."


"คุณโทรมาทำไมเหรอครับ"


"....." ไร้เสียงจากปลายสาย เหมือนทางนั้นกำลังคิดหนักสำหรับคำตอบ


"ผมแค่... อยากได้ยินเสียงของคุณทุกๆเช้า" เป็นคำตอบที่ทำให้อยากจะวางสายเสียเดี๋ยวนี้ ในสมองของจงฮยอนคิดไปไกลลิบ ใบหน้าแดงอย่างห้ามไม่ได้


"เอ่อ... คงไม่ใช่ว่า..."


"ผมไม่ได้ช่วยตัวเองผ่านเสียงของคุณหรอกนะ วางใจได้"
ใบหน้าแดงก่ำนั้นแดงยิ่งขึ้นไปอีก เขาคิดแบบนั้นก็จริง เขาตั้งใจจะพูดอ้อมๆ แต่ปลายสายกลับพูดออกมาเหมือนเรื่องแบบนี้มันธรรมดาเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ


"พูดอะไรของคุณเนี่ย"


"นั่นสิ ผมพูดอะไรออกไปนะ" ประโยคที่เหมือนถามย้อนกลับมาแบบนี้มันน่าโมโหจริงๆนะ ให้ตายเถอะ


"ถ้าไม่มีอะไรผมวางแล้วนะครับ" จงฮยอนมองตัดบทเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไปทำงานสายเต็มทีแล้ว


"ท่านประธานไม่ว่าคุณหรอก ถ้าคุณจะไปสายสักหน่อย" ปลายสายพูดเหมือนรู้ว่าจงฮยอนคิดอะไรอยู่
ก็แน่ล่ะสิ ที่จงฮยอนคุยอยู่ด้วยตอนนี้ก็คือประธานบริษัทนี่นา


"ประธานบริษัทผมมีเหรอจะไม่ว่า ผมจะไม่พูดอะไรมากแล้วกัน ถ้าเกิดคุณเป็นฮวังมินฮยอนขึ้นมาจริงๆละผมจะซวยเอา"


"....รู้"


"ผมไปแล้วนะครับ บาย" เกือบแล้ว... มินฮยอนเกือบจะหลุดว่ารู้ได้ยังไงแล้ว ถ้าอีกคนไม่ตัดสายไปก่อนก็คงได้รู้ความจริงเดี๋ยวนั้น


"เมื่อไหร่จะได้คุยกันจริงๆสักทีนะ..."

..................................


"ได้คุยกับเขาแล้วเหรอ!?!" เสียงมินกิดังขึ้นกลางโรงอาหารพนักงาน จนจงฮยอนต้องเอานิ้วแตะปากเป็นสัญญาณให้เบาเสียงลง


"ช่าย เสียงคุ้นมากเลยอ่ะ"


"แล้วเขาดูโรคจิตมั้ย" มินกิที่ตอนนี้วางช้อนส้อมเรียบร้อยเพราะมีเรื่องที่น่าสนใจกว่ากินข้าวกลางวันถามต่อ


"ก็ไม่นะ ดูเป็นคนแปลกๆ แต่ไม่ใช่ว่าลามกอ่ะ"


"ระวังตัวด้วยนะ"


"ครับผม" จงฮยอนทำสัญลักษณ์โอเค ก่อนจะกินข้าวกลางวันต่อ


"งั้นฉันไปก่อนนะ เจอกันข้างบน"


"ตั้งใจๆ"


"อ้อ เย็นนี้ประชุมนะจงฮยอน" พูดจบก็เดินออกจากโรงอาหารทันที ทิ้งให้จงฮยอนนั่งอยู่ที่เดิม

"กลับมาทำไมอ่ะมิ... ท่านประธาน" จงฮยอนกำลังคิดว่าเขาได้เจอประธานบริษัทนี้บ่อยเกินไปรึเปล่า บ่อยกว่าช่วงแรกๆที่ได้เข้ามาทำงานที่ฮวังกรุ๊ปเสียอีก


"ไง"


"ไง? เอ่อ... ท่านประธานมีอะไรรึเปล่าครับ"


"ต้องมีอะไรด้วยเหรอ มาโรงอาหารเนี่ย" จงฮยอนแอบค้อนมินฮยอนไปหนึ่งที มาโรงอาหารน่ะไม่ต้องมีอะไรหรอก แต่มาทักเขาเนี่ย มันต้องมีอะไรแน่ๆ


"หมายถึงว่าที่ทักผมเนี่ย มีอะไรครับ"


"ไม่เห็นจะมีอะไรเลย" จงฮยอนมองจานข้าวที่ประธานบริษัทเอามาด้วยอย่างงงๆ จนเมื่อมินฮยอนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาเท่านั้นแหละ...


งงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก


"เอ่อ.. ท่านประธานจะนั่งตรงนี้เหรอครับ งั้นผมลุกให้ก็ได้"


"จะลุกไปไหน นั่งด้วยกันสิ"


"ห้ะ..."

................................


หลังจากกินข้าวด้วยกันครั้งนั้น ความสัมพันธ์ของจงฮยอนและท่านประธานก็เหมือนเส้นขนาน เพราะต่างคนต่างยุ่งกับเวลางาน ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นไปอีก วันๆของจงฮยอนจึงต้องกลับลูปเดิม ขับรถจากบ้านไปที่ทำงาน และขับจากที่ทำงานกลับบ้าน ที่แตกต่างยิ่งไปกว่านั้นคือ..
โทรศัพท์เจ้าปัญหานั้นไม่ได้โทรเข้ามาอีกเลย ราวกับรู้ว่าเขามีงานยุ่งตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา


"ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ขอบใจที่ไม่โทรมานะ" เจ้าของตาลึกโหลเพราะพักผ่อนน้อยพูดเบาๆกับโทรศัพท์บ้านเครื่องเก่าที่เคยมีเสียงเรียกเข้าทุกเช้า


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยพร้อมทำงาน เสียงโทรศัพท์บ้านเครื่องเดิมก็ดังขึ้น


"เฮ้ออออออออออ"


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง


"รับก็ได้วะ..... คิมจงฮยอนพูดสายครับ"


"งานยุ่งเนอะ" เสียงปลายสายที่เขานึกไม่ออกสักทีว่าเป็นใครพูดขึ้น


"ครับ ผมนึกว่าคุณจะไม่โทรมาเสียอีก"


"คิดถึงผมรึไง" จงฮยอนเบะปากใส่โทรศัพท์ก่อนจะพูดต่อ


"ผมก็มีการมีงานทำนะครับ ไม่ได้ว่างๆ"


"ตอบไม่ตรงคำถามนี่ครับ"


"....."


"เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้ว่างเหมือนกัน งานผมก็ท่วมหัว"


"คุณทำงานอะไรครับ" จงฮยอนถาม เผื่อว่าคนปลายสายจะยอมบอก และทำให้เขาได้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับเขา


"ก็บริษัทเดียวกับคุณนั่นแหละ จำผมไม่ได้เหรอครับ"


"งั้น.."


"โทษที ผมต้องไปแล้ว ตั้งใจทำงานนะครับ อย่ามาสายล่ะ"


ตู๊ด... ตู๊ด....


"วางไปอีกแล้ว..." จงฮยอนวางหูโทรศัพท์ ลงพลางมองนาฬิกา ก็พบว่า ถ้าเขาไม่รีบเข้าห้องน้ำเสียตอนนี้เขาต้องสายจริงๆแน่ คิดได้ดังนั้น จงฮยอนจึงเร่งสปีดตัวเองในการทำธุระส่วนตัวและเดินทางไปยังที่ทำงาน

................................


เมื่อพ้นช่วงเทศกาล วันหยุดประจำปีของบริษัทก็มาถึง เหล่าพนักงานบริษัทเลือกที่จะไปเที่ยวกันโดยมีท่านประธานฮวังเป็นเจ้าของทริป และเพราะว่ายอดขายในช่วงเทศกาลของฮวังกรุ๊ปพุ่งทะลุเป้า ฮวังมินฮยอนเลยดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


"นายจะไปมั้ยจงฮยอน" หัวหน้าแผนกมินกิถาม


"ไม่ไปอ่ะ พอดีเรามีธุระ" เขามีแผนสำหรับวันหยุดยาวไว้แล้ว แพลนไว้ตั้งนานแล้วด้วย


"จะไปเที่ยวคนเดียวอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย ทุกทีเลย"


"ก็เราไม่ค่อยชอบคนเยอะๆนี่ มินกิ เราฝากด้วยนะ" จงฮยอนขยิบตาให้ มินกิก็ขยิบตาตอบเป็นอันรู้กัน


ได้เวลาจับมนุษย์ล่องหนแล้ว...




ไม่นาน เวลาแห่งการท่องเที่ยวก็มาถึง เหล่าพนักงานบริษัทกำลังเตรียมตัวขึ้นรถยกเว้นจงฮยอน ที่กำลังยุ่งแต่เช้า เขากำลังทำอะไรบางอย่างกับโทรศัพท์บ้านและโทรศัพท์มือถือของเขาเอง พลางยิ้มและหัวเราะหึๆออกมาตลอดเวลา


"คราวนี้แหละ จะได้รู้กันสักที"


การสมัครโปรโมชั่นเพื่อโอนสายจากโทรศัพท์บ้านเข้ามือถือเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำตั้งนานแล้วรองจากการเปลี่ยนโทรศัพท์บ้าน แต่ติดที่ว่าเขาไม่มีเวลาเลย เวลานอนของเขาน้อยพอๆกับเวลานั่งอ่านหนังสือ


"เสียค่าบริการด้วยเหรอ... แต่ไม่เป็นไรหรอก รวย ฮุ.." จงฮยอนยิ้มกับตัวเอง ที่เหลือก็แค่รอเวลาที่สายปริศนาจะโทรเข้ามาหาเท่านั้น


แต่จนแล้วจนรอด โทรศัพท์เขาก็ยังไม่มีเสียงเรียกเข้าจากสายปริศนาเลยสักนิด..


จงฮยอนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ข้างตัวมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ภายในมีเสื้อผ้าที่ถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย


"ทำไมไม่โทรเข้ามากันนะ แปลกจัง" ร่างเล็กปลดล็อกหน้าจอมือถือเป็นรอบที่แปดของเช้านี้แล้วแต่ก็ยังไม่มีเสียงเรียกเข้าหรือมิสคอลแต่อย่างใด


"หรือเขาจะรู้ว่าเราโอนสาย? ก็ไม่น่านะ"

....................................


กริ๊งงงงงงงงงงงงงง


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง!!


"ตื่นแล้ว!!" จงฮยอนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีที่ได้ยินเสียงเตือน แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะนั่นเป็นนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งขึ้นเพื่อเขาจะได้ไปขึ้นรถทันเวลาต่างหาก


"เฮ้ออออออออ"


เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่าย จนเขาเดินทางมาถึงที่พัก ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีสายเรียกเข้าจากบุรุษปริศนาคนนั้น จะว่าดีมันก็ดีเพราะเขาไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งออกมาจากครัวเพื่อรับโทรศัพท์ แต่จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิงเพราะเขาชินเสียแล้ว ที่จะต้องรับโทรศัพท์ไร้เสียงตอบตอนเช้าและงุนงงกับมัน


"จะไม่โทรมาจริงๆเหรอ..." จงฮยอนนอนมองโทรศัพท์เป็นชั่วโมงแล้ว ชาร์ตแบตรอบแล้วรอบเล่า แต่ก็ยังไม่มีแม้แต่มิสคอล


เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องอยากรู้หรืออยากได้ยินเสียงเรียกเข้าขนาดนั้น รู้แค่ว่าตัวเองอยากได้ยินมัน จงฮยอนตีความไปเองว่าคงเพราะมินกิไม่โทรมาหาเขาเลยตั้งแต่เช้า ก็เลยเหงาเพราะไม่มีเพื่อนคุย


"ถ้าเขาเป็นพนักงานบริษัทเรา แสดงว่าเขาต้องไปเที่ยวด้วย เพราะบริษัทเรามีคนไม่ไปคนเดียว คือนาย" มินกิเคยพูดเอาไว้ เขาจึงให้หัวหน้าแผนกเพื่อนสนิทไปสืบมาว่าใครที่เป็นเจ้าของสายปริศนาที่โทรเข้าในตอนเช้า


"อุตส่าห์ได้เริ่มคุยกันแล้วแท้ๆ.. ดูจะเป็นคนดีด้วย สงสัยจะอยู่คนละแผนกล่ะมั้ง" จงฮยอนชาร์จโทรศัพท์เป็นรอบที่สามของวัน ก่อนจะลงไปที่ห้องอาหารของโรงแรมเพราะเขาเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
ในขณะที่จงฮยอนเดินลงบันได เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


กริ๊งงงงงงงงงงงงง


08X-XXX-XXXX

- ประธานฮวัง -

..............


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง


"ว่าไงมินกิ" จงฮยอนกรอกเสียงลงไปหลังจากที่เห็นว่าโทรศัพท์มือถือกำลังกรีดร้อง


"ฉันเพิ่งไปกินข้าวมาอ่ะดิ หลายสายเลยเหรอ ขอโทษๆ ฮ่าๆๆๆ"


"ไม่เห็นคนน่าสงสัยเลยเหรอ"


"....จะบ้าเรอะ เป็นไปไม่ได้หรอก" จงฮยอนส่ายหัวดิก เมื่อเพื่อนสนิทตั้งข้อสันนิษฐานประหลาดๆ


'ประธานฮวังอาจจะเป็นคนที่โทรไปก็ได้ เพราะฉันไม่เจอคนน่าสงสัยในบรรดาพนักงานน่ะนะ' มินกิพูด


"เที่ยวเป็นไงบ้างอ่ะ" จงฮยอนเปลี่ยนเรื่อง เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะฟุ้งซ่าน


"....ประธานเลี้ยงหมดเลย? หูยย อิจฉาจริงจริงงงงง"


"ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไปกับประธาน" จงฮยอนพูดกลั้วหัวเราะ


"ฉันได้ยินนะ"


"......มินกิ"


"เสียงแบบนี้เลยอ่ะมินกิ! เมื่อกี้ใครพูด" จงฮยอนละล่ำละลัก คนที่โทรมาเป็นคนในบริษัทเขาจริงๆด้วย


"ประธาน"


"มินกิอย่าล้อเล่น นายอยู่กับใครอ่ะ" เขาไม่มีทางเชื่อหรอก ว่าประธานฮวังจะเป็นคนที่โทรมาหาในตอนเช้า เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโทรมา...


'ผมแค่อยากได้ยินเสียงคุณในตอนเช้า' เหตุผลจากสายแปลกนั้นทำให้เขาสงสัย คนเราสามารถพูดอะไรก็ได้ถ้ามีอะไรปิดบังใบหน้า และส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวตนที่ถูกซ่อนอยู่


"ฉันอยู่กับประธานจริงๆนะ" มินกิยืนยัน แต่ต่อให้นั่งยัน นอนยัน หรือตีลังกายันเขาก็ไม่เชื่อหรอก ว่าประธานฮวังจะเป็นคนโทรมาจริงๆ


"งั้นนายก็คุยกับเขาเลยสิ" มินกิพูด ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงกุกกักๆ คงจะเพราะว่าส่งโทรศัพท์ให้กัน


"สวัสดีครับ" จงฮยอนพูดก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เริ่มสนทนา


"คุณเป็นใครครับ อยู่แผนกไหน ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณคือประธานฮวัง"


"แล้วถ้าผมคือประธานฮวังล่ะ" จงฮยอนเงียบไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะออกมา


"ฮ่าๆๆๆ จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคุณ ประธานฮวังเขาจะโทรหาผมทำไมครับ"


"จำได้ว่าผมเคยบอกคุณไปแล้วนี่"


"เหตุผลประหลาดนั่นน่ะนะ ใครเชื่อก็โง่แล้ว"


"แต่คุณก็ยังรับสายผมนี่ แถมไม่เปลี่ยนเบอร์บ้านด้วย ...หยุดขำทีไอ้ดงโฮ"


"คุณจะเรียกเลขาประธานว่าไอ้ไม่ได้นะ" จงฮยอนปราม ถ้าเกิดประธานได้ยินเข้า พนักงานคนนั้นต้องโดนดุแน่ๆ


"จะให้ผมบอกอีกกี่ครั้งว่าผมชื่อฮวังมินฮยอน" จงฮยอนกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด


"วิดิโอคอลมั้ยครับ"


"เอาเลยๆๆๆ" เสียงมินกิและใครอีกคนซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นคังดงโฮ เลขาของท่านประธานเล็ดลอดเข้ามาในสาย

"เงียบก่อนที่ผมจะตัดเงินเดือนพวกคุณนะ"


ตู๊ด.... ตู๊ด.....


สายถูกวางไปแล้ว ก่อนที่จะมีเสียงเรียกเข้าอีกครั้ง คราวนี้เป็นวิดิโอคอลจากไลน์ของมินกิ
ใจนึงก็อยากรับ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะเป็นท่านประธานจริงๆ


"ไง!!"


"ตกใจหมดเลยมินกิ!!" คนปลายทางรู้บ้างไหมว่าเขาเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเมื่อเห็นหน้าเต็มจอและได้ยินเสียงดังเต็มหู


"นายอยู่โรงแรมเหรอ ห้องสวยมากกก"


"แน่นอน ประธานใจดี"


"มินกิ! เอาโทรศัพท์มานี่เร็ววว พระเอกจะหนีแล้ว!!" เสียงที่เขาจำได้ว่าเป็นของเลขาคังดังลอดออกมา พวกเขาไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ใช่สิ ประเด็นสำคัญที่ว่านั่นก็คือ พระเอกคือใครต่างหาก


"ดงโฮปล่อยสิเว้ย!!" ภาพที่เห็นนั้นมันทำให้เขาตกใจอยู่พอสมควร ประธานบริษัท ฮวัง มินฮยอนตัวจริงเสียงจริงกำลังถูกเลขาคังล็อกตัวไว้ ให้ตายเถอะ นี่พวกเขาอายุย่างเข้าสามสิบจริงรึเปล่า ทำไมทำตัวเหมือนเด็กสิบสองขวบที่เพิ่งมีรักครั้งแรก


"ท..ท่านประธาน"


"ฉันบอกแล้วไง ว่าอยู่กับท่านประธาน" ภาพในจอกลับมาเป็นหน้าเพื่อนสนิทอีกครั้ง


"แต่ทำไม..."


"เพราะว่าฉันคือมินกิไงล่ะ" มินกิหันไปตบมือกับเลขาคัง สนิทกันจริงๆด้วยสินะ สองคนนี้


"ดูนายสนิทกับเลขาคัง"


"แน่ล่ะ เพื่อนสมัยมัธยมนี่" มีเรื่องทำให้เขาช็อกอีกแล้ว เลขาคังกับมินกิเป็นเพื่อนสมัยมัธยม ดูสนิทกันมากกกกเลยด้วย


"อะไรนะ!"


"ฉัน ดงโฮ เป็นเพื่อนสมัยมัธยม ส่วนดงโฮกับประธานเป็นเพื่อนสมัยมหาลัย" ความจริงยังไม่หยุดปะทะเข้ามาเรื่อยๆ มีเรื่องอะไรให้ช็อกมากกว่านี้อีกไหม อย่างเช่นว่าเขาก็เคยเจอใครคนใดคนหนึ่งมาก่อนหน้านี้...


.....เมื่อนานมาแล้ว


"ประธานบอกว่าเคยเจอนายที่มอด้วย นายเรียนมอเดียวกับประธานเหรอ"


"อะไรนะ!!" ถ้าจะให้ตอบตามตรงเลยก็คือ เขาใช้ชีวิตอยู่ในมอแบบแห้งเหี่ยวมากจนไม่มีใครรู้จักเขาเป็นการส่วนตัว นอกจากแจฮวาน อีกอย่าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนชื่อฮวังมินฮยอนในมหาลัย


"เอ่อ... ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยรู้จักใครอ่ะ" เขามองเลยไปเห็นท่านประธานนั่งอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะหลบตาเมื่อเห็นว่าเขา(คงจะ)มองกลับมา


"ไม่รู้จักจริงเหรอ ไอ้มินฮยอนเลยเป็นเดือนเลยนะ" ดงโฮแย่งโทรศัพท์มาคุย ทำให้จงฮยอนซึ่งไม่สนิทกับใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งสูงกว่าเกิดอาการเกร็งเล็กน้อย


"ผม..ไม่รู้จักหรอกครับ"


"....." เกิดความเงียบขึ้นทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของทั้งดงโฮและมินกิ


"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้...มิน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!" ดงโฮยัดโทรศัพท์ใส่มือของมินฮยอนที่กำลังมองทั้งสองคนอย่างเอือมๆ


"ไม่รู้จักจริงๆเหรอ"


"ครับ" ดูเหมือนว่าเมื่อจงฮยอนได้คุยกับประธานบริษัทแล้วจะสงบปากสงบคำลงเยอะมากๆทีเดียว


"ช่างเถอะ ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นนักหรอกไอ้เดือนเนี่ย"


"ท่านประธาน.. เอ่อ เป็นคนโทรมาหาผมจริงๆเหรอครับ"


"จำเสียงฉันไม่ได้รึไง"


"มันไม่น่าเชื่อนี่ครับ... ยังไงดี แบบว่า ใครจะไปคิดว่าคนที่โทรมาก่อกวนจะเป็นคนที่ตำแหน่งสูงกว่า ไม่สิ แบบว่า... โอ๊ยยยย เอาเป็นว่าผมไม่คิดว่าจะเป็นคุณ"


"อะไรของนาย ทำไมถึงคิดแบบนั้น"
เสียงในห้องเงียบลงพร้อมกับเสียงปิดประตู มินกิกับดงโฮออกไปแล้ว เหลือแต่เขากับประธานฮวัง.. ที่คอลกันอยู่


"จะว่ายังไงดี ผมคิดว่าประธานชอบผู้หญิง นี่ผมเป็นผู้ชายไง จะมาอยากได้ยินเสียงทุกเช้าผมว่ามันไม่ใช่"


"ไม่ใช่ยังไง"


"อย่าถามมากได้ป่ะ เอ้ยยย ผมหมายถึงผมอธิบายไม่ถูกอ่ะครับ" เขาได้ยินเสียงคนในสายถอนหายใจ จงฮยอนไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก


"คิดว่าผมล้อเล่นเหรอ ผมไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ.."


"เอ่อ..." "อย่าเพิ่งวาง"


"ครับ..."


"ในเมื่อนายรู้แล้วว่าคนที่โทรหานายตอนเช้าเป็นใคร ฉันก็จะขอบอกตรงนี้เลยว่า.."


"ฉันชอบนาย จะจีบ ฝากตัวด้วย"


ตู๊ด... ตู๊ด.....


สายถูกตัด...


เป็นประธานบริษัทที่เอาแต่ใจที่สุดในโลกจริงๆเลยนะ...


--------------------------

In spite of the NOISE, I still hear your VOICE.

--------------------------

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

#มินเจรายปักษ์ 6th THEME : P H O N E 1/2

-----------------------

I just want to hear your VOICE every Morn'

-----------------------


กริ๊งงงงงงงงงงงง!!!


"ครับๆ มารับแล้ววววว สักครู่ๆๆ" ร่างเล็กวิ่งออกมาทั้งที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนและในมือยังถือตะหลิว เพื่อมารับโทรศัพท์บ้านที่แผดเสียงลั่นบ้านแต่เช้า


"คิมจงฮยอนพูดสายครับ"



ตู๊ด... ตู๊ด....



"อ้าว วางไปซะแล้ว" จงฮยอนพูดอย่างเสียดาย เพราะเจ้าโทรศัพท์บ้านเครื่องนี้ไม่มีหน้าจอดิจิตอลโชว์เบอร์ที่โทรเข้า เขาจึงไม่สามารถที่จะโทรกลับไปได้



ถ้ามีอะไรสำคัญคงจะโทรกลับมาเองแหละ...



จงฮยอนยักไหล่ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าครัวเมื่อนึกได้ว่าตัวเองทอดไข่ดาวค้างไว้ แถมยังเปิดแก๊สทิ้งไว้ด้วยอีกต่างหาก....เมื่อกลับเข้าไปในครัวก็พบว่า ไข่ดาวที่เขาทอดค้างไว้กำลังจะไหม้ดำ แต่จะให้ทอดฟองใหม่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว จึงต้องกลั้นใจแล้วเก็บไข่ดาวไหม้นั้นเป็นอาหารเช้าของวัน


"เฮ้ออออ ไม่น่าลืมปิดแก๊สเลยให้ตายเถอะ"

................................

"มาสายนะครับคุณคิม" ฮวัง มินฮยอน ประธานบริษัทหน้านิ่งที่ทำอะไรก็ดูน่าเกรงขามไปเสียหมดทักขึ้นทันทีที่จงฮยอนเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา


"ผมขอโทษครับ..." เมื่อรู้ว่าตัวเองผิดจริง จึงกล่าวคำขอโทษพลางโค้งตัวอย่างนอบน้อม


"ออกไปซะ มีงานอะไรก็ไปทำ" มินฮยอนโบกมือไล่ จงฮยอนลอบถอนหายใจเล็กน้อยที่ไม่โดนหักเงินเดือนและไม่โดนดุ



....สงสัยว่าวันนี้จะอารมณ์ดี



"ครับ" จงฮยอนโค้งให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องของประธานบริษัท


"จงฮยอน โดนอะไรรึเปล่า" มินกิ เพื่อนสนิทของเขาที่ได้ทำงานในบริษัทเดียวกันถามทันทีเมื่อเห็นว่าจงฮยอนนั่งลงที่โต๊ะทำงานเรียบร้อย


"ไม่อ่ะ สงสัยวันนี้ท่านประธานอารมณ์ดี"


"ไปอารมณ์ดีมาจากไหนวะ..." มินกิพึมพำเบาๆ ส่วนจงฮยอนก็ได้แต่ยักไหล่เพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน ท่าทางเมื่อวานคงจะมีเรื่องดีๆล่ะมั้ง


ท่านประธานฮวัง ประธานของฮวังกรุ๊ป เหล่าพนักงานในบริษัทต่างรู้ดีว่าเขาเป็นคนไม่แสดงอารมณ์ และมักจะทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลา โดยปกติแล้ว ถ้าวันไหนไม่มีใครโดนท่านประธานดุจะถือว่าวันนั้น ท่านประธานอารมณ์ดี เพราะทุกๆวัน จะมีพนักงานโชคร้ายที่โดนท่านประธานเหน็บอยู่ทุกวัน
แต่ถึงแบบนั้น... ท่านประธานก็เป็นคนที่เก่งมากทีเดียว เพราะเขาสามารถผลักดันฮวังกรุ๊ปให้กลายเป็นบริษัทส่งออกที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกทั้งที่อายุยังน้อย


"วันนี้จะมีใครโดนมั้ยเนี่ย" มินกิกระซิบถาม เมื่อเห็นมินฮยอนเดินเข้ามาตรวจงานในแผนก สังเกตได้เลยว่าบรรดาพนักงานต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนดุ



ฝีปากท่านประธานน่ะ ที่หนึ่งเลย...



"คุณหัวหน้าแผนก จอคอมมันหันตามคอของคุณไม่ได้หรอกนะครับ ผมว่าคุณควรจะหันมองมันแทนหน้าของเพื่อนคุณนะครับ" มินกิสะดุ้ง ก่อนที่จะหันกลับมาทำงานเหมือนเดิม


"นายไงมินกิ" จงฮยอนกระซิบ ก่อนจะรีบก้มหน้าทำงานเมื่อรู้สึกถึงสายตาเฉียบคมที่เบนมาทางเขา


"คุณจงฮยอน..." เจ้าของชื่อไม่ได้หันมองหน้าคนเรียก เขารีบคีย์ตัวอักษรในเอกสารด้วยความอึดอัดที่ถูกจ้อง และเมื่อรู้สึกว่า ท่านประธานไม่อยู่ตรงนี้แล้ว จึงเงยหนัาขึ้นแล้วถอนหายใจ


"ท่านประธานนี่ลำเอียงป้ะเนี่ย เขาไม่ว่าอะไรนายสักคำเนี่ยนะ"


"เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ" จงฮยอนส่ายหัวดิก พลางมองหัวหน้าแผนกมินกิขำๆ


"ทำงานเสร็จแล้วไปกินข้าวกัน" จงฮยอนพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์เอกสารต่อ

..............................

"จงฮยอน เรื่องโทรศัพท์ที่ว่านั่นน่ะ..." ตอนนี้ พวกเขาอยู่ที่โรงอาหารของบริษัท หลังจากที่ทำงานในช่วงเช้าจนเสร็จ ทั้งจงฮยอนและมินกิก็พากันลงมาหาอะไรกิน และเริ่มเปิดประเด็นขึ้น


"หมายถึงที่ชอบโทรมาตอนเช้าอ่ะเหรอ จะว่าไปก็ยังโทรมาอยู่นะ" จงฮยอนนึกถึงสายโทรเข้าเมื่อตอนเช้า เพราะมันแท้ๆ เขาถึงมาทำงานสายในวันนี้


"แล้วเขาพูดอะไรบ้างมั้ย" จงฮยอนส่ายหัว เพราะเมื่อเขาพูดสายปุ๊บ เจ้าของสายปริศนานั่นก็ตัดสายปั๊บ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อสักนิดเดียว


"แปลกอ่ะ"


"ใช่มั้ย เราก็ว่าแปลก อยากโทรกลับแต่โทรศัพท์บ้านเราไม่โชว์เบอร์ซะนี่" จงฮยอนกลืนข้าวที่เคี้ยวอยู่ก่อนจะพูดต่อ


"นายว่าเขาเป็นโรคจิตรึเปล่าอ่ะ เขาวางสายทันทีที่เรารับโทรศัพท์ ไม่ได้พูดอะไรเลยเนี่ย"


"เราก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกมั้ง เนาะ" มินกิชูสองนิ้วให้เพื่อนสนิท ก่อนจะรีบกินข้าวเพราะเขายังคงมีงานค้างอยู่


"ค่อยๆกินสิ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก" เพื่อนสนิทหน้าสวยทำสัญลักษณ์โอเค แต่มืออีกข้างก็ยังไม่หยุดตักข้าวเข้าปาก


"หมดแล้ว ไปก่อนนะ นึกได้ว่ามีงานค้าง" มินกิพูดในระหว่างที่เก็บกระเป๋าและเอกสาร


"อื้ม ตั้งใจทำงาน"


"แล้วจะขึ้นไปตอนไหนอ่ะ"


"อีกสักพักแหละ เราไม่มีงานอะไรแล้ว"


"โอเค งั้นเราไปนะ เจอกัน"


"เจอกัน"




อีกด้านหนึ่ง....


"ไงล่ะท่านประธาน กลายเป็นโรคจิตในสายตาเขาไปแล้วนะครับ" คังดงโฮ เพื่อนสนิทควบตำแหน่งเลขาท่านประธานฮวังยิ้มล้อเลียน


"เบื่อคนขี้ป็อดว่ะ ต่อหน้าก็ทำเหมือนจะว้ากเขาตลอดเวลา แต่พอลับหลังก็มาชะเง้อหา คอจะยาวกว่าเจ้าจินยองมันละ"


"เงียบน่า" มินฮยอนหันหลังเดินกลับเข้าตึก ตามด้วยเลขาอย่างดงโฮที่คอยส่งสายตาล้อเลียนอยู่ไม่ห่าง

............................

หลายวันถัดมา...


กริ๊งงงงงงงงงงงงง


"ครับๆๆๆ มาแล้วๆๆๆๆ" จงฮยอนวิ่งออกมาจากในครัวเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้เขาปิดแก๊สและตักไข่ดาวใส่จานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะได้กินไข่ดาวไหม้


"คิมจงฮยอนพูดสายครับ"



ตู๊ด.... ตู๊ด....



และเป็นแบบนี้ทุกที เมื่อจงฮยอนเริ่มพูดสาย คนในสายก็จะตัดสายหนีทุกครั้ง ไม่พูดอะไรกลับมาเหมือนตั้งเป็นระบบอัตโนมัติ ว่าถ้าเขาพูดจบเมื่อไหร่ให้ตัดสายได้ทันที บางทีเขาก็แอบรำคาญเหมือนกัน โทรมาได้ทุกวันตอนเช้าๆ บางทีก็เช้ามาก บางทีก็สายมาก เขาเองก็รับบ้างไม่ได้รับบ้าง หนึ่งเพราะถ้าเขาโทรมาในตอนสายแล้วเขามัวแต่รับโทรศัพท์ เขาก็จะไปทำงานช้า บางทีเขาก็หมั่นไส้คนที่โทรมารบกวนเขาในทุกๆวันจนแกล้งไม่รับโทรศัพท์บ้าง



และแปลกที่ว่าวันไหนที่เขาไม่ได้รับโทรศัพท์ ท่านประธานก็จะดูหงุดหงิดมากกว่าเดิมทุกที



"นี่ก็โทรมาทุกวันเลย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นไปไม่ได้นี่จะคิดว่าประธานโทรมาแล้วนะ" จงฮยอนกระแทกหูโทรศัพท์ ก่อนจะเดินกลับเข้าครัวเพื่อทานอาหารมื้อแรกของวัน


จงฮยอนเดินทางมาถึงที่ทำงานด้วยอารมณ์บูดบึ้งเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนฝนตก ถนนจึงเต็มไปด้วยน้ำขัง และเขาเกือบจะต้องเปียกเพราะรถยนต์ที่ขับทับแอ่งน้ำนั้น


"ไม่ใช่ฤดูฝนซะหน่อย ทำไมฝนตกหนักจัง" สิ้นเสียงพูด เสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น พร้อมๆกับฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


"จะถึงอยู่แล้วเชียว!...หืม?" อยู่ๆ ฝนเม็ดใหญ่ที่ควรจะหยดลงบนหัวก็หยุดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบร่มสีดำคันใหญ่กางคลุมหัวอยู่


"ท..ท่านประธาน!!" เป็นมินฮยอนเองที่เป็นเจ้าของร่มคันใหญ่นั้น ด้านหลังของเขาเป็นรถสีดำคันหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นรถของท่านประธาน


"เดินไปสิ ถ้าสายฉันจะหักเงินเดือน"


"ค..ครับ!" จงฮยอนขานรับ ก่อนจะคว้าร่มในมือท่านประธานเตรียมวิ่ง แต่กลับโดนรั้งไว้ก่อน


"ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ผมยังไม่อยากเปียกนะ" ไม่พูดเปล่า ยังแกะมือของจงฮยอนออกจากร่มของเขาด้วย


"อ่า.. งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถแล้วกันนะครับ" จงฮยอนพูด พลางยื้อร่มแล้วดันท่านประธานกลับไปยังรถ แต่ดูเหมือนว่ามินฮยอนจะยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเลยสักนิด ถึงจะเซไปบ้างแต่เท้าก็ยังอยู่ตำแหน่งเดิมเป๊ะ


"ท่านประธาน ถ้าไม่รีบผมจะสายนะครับ" จงฮยอนเริ่มหัวเสีย ก่อนจะออกแรงดันประธานบริษัทอีกครั้ง


"คุณสายผมก็สาย แฟร์ดีออก" ท่านประธานพูดหน้าตาย


"แต่คุณหักเงินเดือนตัวเองไม่ได้นี่ครับ" คนกำลังจะสายถอนหายใจ ก่อนจะเลิกยื้อร่มแล้วออกวิ่งทันที


"เดี๋ยว!"

...............................

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" และเมื่อเขาเล่าให้ดงโฮฟัง ก็ได้รีแอคชั่นตอบกลับอย่างที่เห็น เจ้าเพื่อนตัวดีของเขาขำจนแทบจะกลิ้งลงไปนอนกับพื้น นี่ถ้าใครมาเห็นคงไม่เชื่อแน่ ว่านี่คือเลขานุการหน้าโหดของท่านประธาน


"เลิกขำที นี่เครียดอยู่"


"ฮ่าๆๆ โอ๊ย ใครจะไปคิดวะ ว่าจงฮยอนจะกล้าเมินประธานบริษัทเพื่อที่จะไม่ไปทำงานสาย จี้โคตรอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" มินฮยอนชกเข้าที่ไหล่เพื่อนหนึ่งที โทษฐานที่พูดอะไรไม่ถูกใจ



กะจะทำตัวเป็นพระเอกซะหน่อย นางเอกดันไม่ให้ความร่วมมือซะนี่



"แกว่า..ฉันจะมีหวังบ้างป่ะวะ" มินฮยอนลูบหน้าตัวเองอย่างใช้ความคิด เพราะดูๆแล้วจงฮยอนก็กลัวเขาไม่ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ


"จะมีหวัง ถ้าแกพูดอะไรใส่โทรศัพท์ที่โทรอยู่ทุกวันบ้าง ไม่ใช่พอเขาพูดก็กดตัดสาย"


"ก็มันไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า.. พอได้ยินเสียงหัวก็แบล็งค์เลย" ดงโฮมองเพื่อนสนิทอย่างเหนื่อยใจ อายุก็ปาเข้าไปจะสามสิบแล้ว ถ้าเรื่องธุรกิจจะนับว่าเป็นคนอายุน้อย แต่เรื่องความรักก็ถือว่าควรหาใครสักคนได้แล้ว


"แล้วก็เลิกโทรเข้าเบอร์บ้านด้วย เบอร์มือถือมีก็โทรไป"


"โทรมือถือเขาก็รู้ดิว่าใครโทรมา"


"ละโทรศัพท์บ้านเขาไม่โชว์เบอร์รึไง"


"ไม่โชว์"


"รู้ดีจังวะ ไปละ ยังมีงานค้าง ประธานบริษัทนี้แม่งหางานให้ทำทุกวันเลย" ดงโฮแกล้งบ่น


"อยากได้งานเพิ่มเหรอครับคุณเลขาคัง"


"แบ่งให้คนอื่นทำบ้างเถอะครับ" ดงโฮพูด ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของประธานบริษัทไปเพื่อจัดการงานที่คั่งค้าง


"รีบไปก่อนที่ผมจะสั่งงานคุณจริงๆเถอะ"


"ครับบบบบ" และก็ยังไม่วายที่จะมีเสียงตะโกนตอบกลับมา มินฮยอนก็ได้แต่แยกเขี้ยวใส่เจ้าของเสียงที่คงจะเดินไปไกลแล้ว


"แล้วแบบนี้... เมื่อไหร่ฉันจะได้คุยกับนายจริงๆสักทีนะ"

....................................

กริ๊งงงงงงงงงงงงง


"เอาอีกแล้ว..." พักหลังๆ จงฮยอนเริ่มไม่อยากที่จะรับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาทุกวันตอนเช้าอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเมื่อวานนี้เขาต้องทำโอทีจนดึกดื่น และเช้านี้มันควรจะเป็นเวลาที่เขาจะได้นอนกลิ้งอยู่บนเตียงเพราะเป็นวันหยุดแท้ๆ



กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง



"ไม่อยากรับเลยอ่ะ ไม่รับได้มั้ยเนี่ย" จงฮยอนพึมพำ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอนอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเจ้าของสายวางไปแล้ว


"ง่วงชะมัด..."



กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง!!



"โว้ยยยยย!!!!!"



ในเมื่อเป็นแบบนี้.. เขาก็คงจะไม่ใจดีอีกต่อไป...



"นี่!! คุณ!! อย่าวางนะ!!!!"


"....." เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่ได้วางสาย จึงพูดต่อ


"คุณโทรมาทำไมครับ ไม่สิ เอาเบอร์บ้านผมมาจากไหน แล้วทำไมโทรมาแล้วไม่พูด เมื่อคืนผมก็ได้นอนน้อยแล้วตอนเช้าก็ยังต้องมารับโทรศัพท์คุณอีก ผมง่วง!!!! ได้ยินมั้ยว่าง่วง!!!!"


"......."


"ไม่พูดก็ไม่ต้องโทรมาอีกนะ!!!"



ปัง!



จบด้วยการกระแทกหูโทรศัพท์อย่างไม่ใยดี มือเล็กดึงสายโทรศัพท์บ้านออก ก่อนที่จะเข้าไปนอนต่อในห้อง พนักงานออฟฟิศเงินเดือนน้อยยังคงต้องการพักผ่อน


"อารมณ์เสียแต่เช้าเลยโว้ย!!!"

จนเลยเวลาเที่ยง จงฮยอนจึงตื่นขึ้น การนอนเต็มอิ่มทำให้เขาสดชื่นแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน ร่างเล็กๆของจงฮยอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง เป็นตอนเที่ยงที่อากาศเย็นทีเดียว เพราะตอนนี้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงเริ่มเย็นกว่าปกติ



กริ๊งงง



ไม่ใช่โทรศัพท์ แต่เป็นกริ่งหน้าบ้าน จงฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะนานแล้วที่ไม่มีใครมาบ้านเขานอกจากบุรุษไปรษณีย์ แต่เท่าที่จำได้ เขาไม่ได้สั่งของอะไรนี่ บรรดาญาติของเขาก็ไม่มีใครบอกว่าจะมาหา จงฮยอนคิดไปคิดมาพลางเลื่อนประตูรั้วบ้านโดยไม่มองหน้าคนมาหาสักนิด


"จะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ"


"ท่านประธาน... สวัสดีครับ" จงฮยอนโค้งหัวให้ เขาไม่รู้สักนิดว่าประธานบริษัทมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร วันนี้ก็เป็นวันหยุดของเขาด้วย ถ้าเป็นเรื่องงานมันจะไม่ด่วนเกินไปหรือ


"มาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ" จงฮยอนไม่กล้าสบตาท่ายประธานเท่าไหร่ เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดเขาจึงตื่นสาย เพิ่งได้แปรงฟันและยังไม่ได้อาบน้ำ


"อ่า เข้ามาก่อนเถอะครับ บ้านผมรกหน่อยนะ" จงฮยอนผายมือเชิญมินฮยอนเข้าบ้าน ก่อนจะปิดรั้วแล้วตามอีกคนเข้าบ้านไป


"นี่บ้านนายเหรอ"


"ใช่ครับ" จงฮยอนวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างเกร็งๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ประธานมินฮยอนมาที่บ้านของเขา แถมยังได้เจอเขาในสภาพที่ไม่พร้อมสุดๆ หัวฟูเป็นรังนก น้ำก็ยังไม่ได้อาบ เขายังอยู่ในชุดนอนลายทางสีอ่อนตัวเก่งอยู่เลย


"ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอไปแต่งตัวก่อนแล้วกันนะครับ" ไม่รอให้มินฮยอนได้ตอบอะไร ร่างเล็กในชุดนอนก็หนีกลับเข้าห้องนอน สักพักเสียงฝักบัวก็ดังขึ้น


"ไม่เปิดโอกาสให้พูดเลยแฮะ" มินฮยอนพึมพำ พลางมองประตูห้องนอนที่เพิ่งถูกปิดลง



ถ้าเกิดจะขอเข้าไป.. จะเป็นอะไรมั้ยนะ



.....แต่สุดท้าย ท่านประธานบริษัทจอมปอดก็ไม่ได้เข้าไปในห้องนอนของคนตัวเล็กจริงๆหรอก เขาแค่จินตนาการ ถ้าสมมติว่าเขาเข้าไปแล้วจงฮยอนออกจากห้องน้ำพอดี คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่



หมายถึงว่าไม่ดีต่อใจเขาเท่าไหร่ กลัวมันจะระเบิดไปตรงนั้นเลย



"ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ" จงฮยอนออกมาพร้อมชุดใหม่และใช้ผ้าเช็ดผมลวกๆ ก่อนจะพาดอย่างลวกๆบนเก้าอี้


"ท่านประธานมีอะไรเหรอครับ"


"ผม... แค่ผ่านมาเฉยๆ" จงฮยอนขมวดคิ้วเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ แต่เขากำลังงง เพราะบ้านของเขาอยู่สุดซอย ไม่มีทางที่จะผ่านบ้านเขาไปไหนได้



ข้ออ้างฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยนะ...



"ยิ้มอะไรของคุณ" จงฮยอนยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เมื่อแอบเห็นว่าท่านประธานหูแดง


"ถ้าจะมาหาผมก็บอกก่อนก็ได้ครับ จะได้เก็บบ้านให้มันรกน้อยกว่านี้" จงฮยอนเกาท้ายทอย พลางมองไปรอบๆบ้านที่เขาไม่ค่อยทำความสะอาดเท่าไหร่ เหตุผลก็คือขี้เกียจนั่นเอง


"แล้วมาหาผมนี่มีอะไรเหรอครับ"


คำถามเดิมถูกถามซ้ำอีกครั้ง มินฮยอนอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่ทันคิดหาเหตุผลมาเพื่อโกหกคนตรงหน้า จุดประสงค์จริงๆของเขาก็คือมาเพื่อหาคำตอบที่ว่าทำไมเขาถึงโทรไม่ติด



ก็ใช่.. โทรศัพท์ปริศนานั่น ก็เขาเองนั่นแหละ


"นั่นสิ... ผมมาทำอะไรนะ"


"อะไรของคุณเนี่ย" จงฮยอนแทบจะกุมขมับต่อหน้าประธานบริษัท แค่จะมาหาเขานี่ต้องคิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอ


"คิดไม่ออกก็ค่อยมาบอกพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ"


"เดี๋ยว"


"เดี๋ยวอีกแล้ว มีอะไรก็รีบๆพูดครับท่านประธาน" ดูท่าว่าคนตรงหน้าเขาจะเริ่มโกรธซะแล้ว บางทีเขาก็คิดนะ ว่าจงฮยอนเคยมองเขาในฐานะท่านประธานบ้างมั้ย ดูเคารพกันเหลือเกิน


"ไปกินข้าวกัน คุณคงยังไม่ได้กินอะไร"


"มาหาผมถึงนี่... เพื่อชวนไปกินข้าว? แหม เป็นเกียรติจริงๆครับ" จงฮยอนแกล้งโค้งตัวให้ ใช่ว่าเขาไม่อยากไปกินข้าวนอกบ้าน แต่เขาไม่อยากให้ใครเห็นว่าเขาทำตัวสนิทสนมกับท่านประธานบริษัทเท่าไหร่


อย่างที่เคยได้ยินมา การที่คนใหญ่คนโตจำชื่อได้ไม่ใช่เรื่องดี ถ้าจำเราในทางไม่ดีก็โดนหมายหัว แต่ถ้าเขาจำเราได้ในทางที่ดีก็จะโดนหมั่นไส้ ซึ่งเขาไม่อยากจะเป็นแบบนั้น



แต่ตอนนี้ท่านประธานจำเขาได้... แถมบอกไม่ได้เสียด้วยว่าดีหรือไม่ดี



"ไปมั้ย"


"ไม่ดีกว่าครับ เชิญท่านประธาน" จงฮยอนส่ายหน้า


ปิดโอกาสเขาอีกแล้ว...


"แล้วถ้าผมอยากกินข้าวกับคุณล่ะ"


"ก็กินที่นี่... อะไรนะครับ" จงฮยอนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองหูฝาดไป ท่านประธานอยากกินข้าวกับเขา? กับพนักงานกินเงินเดือนคนนี้เหรอ


"จะถือว่านั่นเป็นคำชวนแล้วกันนะครับ รบกวนด้วย" พูดจบก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารอย่างอารมณ์ดี
นี่เขาฝันอยู่เหรอ... ทำไมท่านประธานทำตัวประหลาดจัง


"เอ่อ.. จะทานที่นี่จริงๆเหรอครับ" มินฮยอนพยักหน้า


"งั้นรอสักครู่นะครับ" จงฮยอนเลิกสงสัย แล้วเดินเข้าครัวเพื่อทำอาหาร เพราะเขาเองก็หิวมากเหมือนกัน


ไม่นาน จงฮยอนก็ทำมื้อเที่ยงสำหรับสองคนเสร็จ แล้วก็ยิ่งแปลกใจว่าท่านประธานดูจะชอบอาหารมื้อนี้เหลือเกิน ถึงจะเป็นการกระตุกมุมปากแต่เขาก็จะถือว่านั่นเป็นการยิ้ม และถ้าเขาไม่ได้คิดไปเองล่ะก็ เขาคิดว่าท่านประธานมองเขาบ่อยมากทีเดียว


"ขอบคุณนะ"


"ครับ"


"พรุ่งนี้มาทำงานก็ตั้งใจล่ะ"


"ครับ"


"ช่วยพูดอะไรที่ยาวกว่าคำว่าครับหน่อยเถอะ"


"ครับบบบบบ" ถ้าไม่ติดว่าจะเสียภาพลักษณ์ประธานบริษัท เขาจะดีดหน้าผากคนตรงหน้าจริงๆแล้ว


"กลับดีๆนะครับ"


"โอเค ไปละ"


"ครับ"


แล้วบทสนทนาก็จบด้วยคำว่าครับเหมือนเดิม....

............................

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

#ฟิคของเต้าหู้ The T R A V E L E R

--------------------

Snow is WHITE but Your eyes are BLACK.

--------------------


เสียงลมหวีดหวิว พายุหิมะโหมกระหน่ำจนพื้นที่ทั้งหมดถูกมองเป็นสีขาวโพลน แม้กระทั่งท้องฟ้าสีมืดที่ถูกเกล็ดหิมะนับล้านๆกระจายตัวอยู่ทั่วจนดูขมุกขมัว ทิวทัศน์เบื้องหน้าและรอบกาย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ นอกจากเกล็ดหิมะสีขุ่นที่ถูกลมพายุหอบมาจากแดนไกล


แต่ในเกลียวพายุที่ดุร้าย กลับมีร่างของชายคนหนึ่งเดินฝ่าความหนาวเย็นเหมือนกับว่าอากาศข้างนอกไม่ได้มีพายุร้าย เป็นเพียงแค่ลมหนาวที่พัดผ่านเท่านั้น
"ต้องหา.. ให้เจอ..." เสียงสุดท้ายที่ออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะล้มฟุบลงไปกลางทุ่งหิมะและเกลียวพายุ





...........................


"ฟื้นแล้วเหรอคุณ" เสียงใครสักคนที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น นักเดินทางหนุ่มหันไปมองตามเสียงก็ได้พบกับร่างเล็กๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ในมือมีแก้วเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนที่แก้วนั้นจะถูกส่งมาให้เขา


"ขอบคุณครับ"


"คุณมาจากไหนเหรอ ทำไมไปนอนอยู่กลางหิมะแบบนั้นล่ะ นี่ถ้าพวกผมไม่ไปเจอเข้าจะเป็นยังไงเนี่ย" เด็กชายทิ้งตัวนั่งข้างฟูกที่เขานอนอยู่ พลางมองสำรวจตั้งแต่เรือนผมสีทองไปจนถึงการแต่งตัวที่ดูประหลาดเหลือเกินในสายตาของเด็กชาย


"ฉัน..เป็นนักเดินทาง"


"เหรอๆๆ เดินทางมาไกลน่าดูเลยสิ ได้เจออะไรบ้างครับ ได้เจอพวกจิ้งจอกรึเปล่า ได้ยินมาว่าน่ากลัวมาก" เด็กน้อยลูบแขนตัวเองเมื่อพูดถึง "พวกจิ้งจอก"


"เจอสิ"


"สุดยอดเลย!! มันมีหลายหางจริงๆเหรอครับ ผมได้ยินมาว่ายิ่งหางเยอะจะยิ่งเก่งนี่" เด็กชายยังคงถามไม่หยุด ยิ่งได้ยินจากปากคนที่เคยเจอผู้ที่มีเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัวแล้ว ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก


"ที่เธอเข้าใจก็ไม่ผิดนักหรอก" นักเดินทางตอบ พลางจิบเครื่องดื่มอุ่นเร็วๆ ก่อนที่มันจะเย็นเสียก่อน


"อ่ออ..."


"คุณ.. เผ่าเต่าหิมะ?" นักเดินทางทักขึ้น


"ร..รู้ได้ยังไงน่ะครับ" เด็กชายสะดุ้ง เขาเคยถูกสอนมาว่า ถ้าถูกคนแปลกหน้าล่วงรู้เผ่าพันธุ์โดยที่ตนไม่ได้บอก สงสัยไว้เลยว่าจะเป็นคนจากเผ่าจิ้งจอก เพราะเผ่านั้นเป็นเผ่าเดียว ที่สามารถได้กลิ่นเลือดเฉพาะเผ่าพันธุ์


"หน้าคุณเหมือนเต่า" แต่คำตอบที่ได้รับมากลับทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว แค่ว่าหน้าเหมือนเต่าแล้วจำเป็นต้องเป็นเต่าหิมะด้วยเหรอ


"อย่าทำหน้าแบบนั้น ถ้าคุณอยู่เผ่าเต่าทะเล คุณคงไม่มาตั้งรกรากในทุ่งหิมะแบบนี้หรอกครับ อีกอย่าง.. สีผมของคุณด้วย" เด็กชายจับผมของตัวเองอย่างนึกขึ้นได้


สีผมของชาวเผ่าเต่าหิมะ จะเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุครบยี่สิบปี แต่ตอนนี้เขายังอายุไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ สีผมของเขาจึงยังเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน


"คุณนี่ช่างสังเกตจัง สมเป็นนักเดินทาง" เด็กชายปรบมือให้ เขาคิดว่าชายคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว เป็นนักเดินทางก็แปลว่าต้องได้ผจญภัย และเรื่องผจญภัยสำหรับเด็กชายวันสิบหกปีก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนุก


"คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังได้มั้ย"


"เรื่องของฉันเหรอ... ฉันไม่อยากจะเล่าเท่าไหร่หรอก แต่ก็ตั้งใจฟังก็แล้วกัน"


"....ฉันเป็นนักเดินทางจากป่าทางใต้ คุณพอจะรู้จักเจ้าหญิงแห่งจันทรามั้ย นั่นเป็นสิ่งที่ฉํนตามหาอยู่ ฉันก็เลยเดินทางมาถึงนี่..."


"ป่าทางใต้... ที่อยู่ของพวกจิ้งจอกนี่!!"


"ก็คงจะอย่างนั้น เอาล่ะ ฉันจะเล่าต่อแล้วนะ อย่าขัดล่ะ..."

..................

.............

........

.......

......

....

..

.

.

.

.
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายพันปี พวกเผ่าจิ้งจอกอยู่ร่วมกับเผ่าอื่นอย่างสงบสุข ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ว่าจะกับชาวเผ่าอื่นหรือเผ่าตัวเอง บ้านเมืองเรียบร้อย มีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะ...
และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เผ่าจิ้งจอกมีความสงบเรียบร้อยก็คือ ผู้ปกครองเผ่า ที่ชาวเผ่าจิ้งจอกต่างเรียกเธอว่า "เจ้าหญิงแห่งจันทรา" เธอเป็นคนที่ฉลาด เฉียบแหลม มีความเป็นผู้นำ มองการณ์ไกลและใจดี เธอจึงเป็นที่รักของชาวเผ่าจิ้งจอกทุกคน


จนวันหนึ่ง... กองทัพของพวกเผ่าหมาป่าได้บุกเข้ามายังพื้นที่ของชาวเผ่าจิ้งจอก เพราะต้องการแย่งชิงพื้นที่และประกาศศักดา เมื่อชาวเผ่าจิ้งจอกรับรู้ถึงภัยสงครามที่กำลังจะมาถึงจึงได้จัดเตรียมกองทัพขึ้น โดยที่เจ้าหญิงแห่งจันทราก็ได้เข้าร่วมรบในครั้งนี้ด้วย


ถึงแม้ชาวเผ่าจะคัดค้าน แต่เธอก็ยังคงดึงดันที่จะร่วมรบให้ได้โดยให้เหตุผลว่า "ในเมื่อเธอเป็นผู้นำของเผ่านี้ เพราะเหตุใดเธอจึงร่วมรบไม่ได้ การเป็นที่รักของชาวเผ่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องรออยู่เฉยๆในขณะที่ชาวเผ่าใต้ปกครองกำลังออกไปเสี่ยงชีวิต" เพราะเหตุผลนี้ ชาวเผ่าจึงยอมให้เธอร่วมรบกับนายทหารเผ่าจิ้งจอกนับร้อย




แต่กองกำลังนับร้อย ก็ไม่อาจสู้พละกำลังและความเจนสนามของอีกเผ่าได้...




สงครามจบลงด้วยการที่เผ่าจิ้งจอกเป็นฝ่ายแพ้ ป่าทางใต้กลายเป็นที่อยู่ของพวกเผ่าหมาป่า ในขณะที่ผู้อาศัยเดิมอย่างเผ่าจิ้งจอกต้องกลายเป็นทาสผู้รับใช้เผ่าหมาป่า มันเป็นแบบนี้อยู่หลายทศวรรศ ยิ่งไปกว่านั้น ความพ่ายแพ้ของเผ่าจิ้งจอกยังมาพร้อมกับการสูญเสียครั้งใหญ่ นั่นก็คือการสูญเสียผู้นำอย่างเจ้าหญิงจันทรา เมื่อเผ่าจิ้งจอกสูญเสียผู้นำไป ก็ทำให้ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ประกอบกับถูกกดขี่เพราะแพ้สงคราม ชาวเผ่าจิ้งจอกส่วนมากจึงอาศัยทักษะประจำเผ่าผันตัวไปเป็นโจรปล้นสะดมและเข่นฆ่าเผ่าอื่น จนได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่น่ากลัวที่สุด


แต่ใช่ว่าเผ่าจิ้งจอกจะกลายเป็นคนไม่ดีทั้งหมด มีการก่อตั้งสมาคมลับขึ้นเพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงจันทรา เพราะเชื่อกันว่าดวงจิตของเธอยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าอยู่ในรูปแบบอื่น พูดง่ายๆว่าเธอเกิดใหม่เป็นคนอื่นนั่นเอง


ไม่มีใครรู้ว่าดวงจิตของเธอจะอยู่ในรูปแบบไหน หรือว่าอยู่ที่ใด เท่าที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงหาเบาะแสจากดวงจันทร์ วันใดที่ดวงจันทร์กลายเป็นสีฟ้าหรือปรากฏการณ์บลูมูน หมายความว่า ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่แล้ว แต่จะอยู่ที่ไหนนั้น ต้องใช้พิธีเสี่ยงทายที่เผ่าจิ้งจอกสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน



แต่ประชากรเผ่าจิ้งจอกในตอนนั้นยังคงอ่อนแอ เพราะพิษสงครามเรื้อรัง พวกเขายังคงถูกชาวเผ่าหมาป่าข่มเหงรังแก



จนเมื่อเด็กชายเผ่าจิ้งจอกคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก เขาก็ถูกจับฝึกให้มีทักษะเอาตัวรอดและป้องกันตัวอย่างลับๆ และเมื่อเด็กชายคนนั้นเติบโตขึ้น จึงถึงเวลาปล่อยให้จิ้งจอกเข้าป่า เพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่...

...................

..............

.........

......

....

...

..

.

.

.

.

.


"นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงนอนอยู่กลางหิมะ" นักเดินทางพูดยิ้มๆ พลางวางแก้วลงข้างตัว แล้วหันไปมองเด็กชายที่ดูเหมือนว่าจะแข็งเป็นหินไปหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว



ก็เขานั่นแหละ.. เด็กชายเผ่าจิ้งจอกคนนั้น



"ค...คุณเป็นคนจากเผ่าจิ้ง..อุ๊บ!!" เด็กชายดิ้นขลุกขลักไปมาเพราะนักเดินทางเผ่าจิ้งจอกเอามือมาอุดปากแถมยังล็อกคอเขาไว้เสียแน่น


"ชู่ววว เงียบหน่อยเด็กน้อย ฉันยังไม่อยากถูกไล่ออกไปเผชิญพายุตอนนี้หรอกนะ" เสียงนุ่มของนักเดินทางกระซิบข้างใบหูเล็ก ทั้งข่มขู่ และขอร้อง ...จนเมื่อเด็กชายหยุดดิ้นและแน่ใจแล้วว่าจะไม่ส่งเสียงดัง นักเดินทางจึงปล่อยแขนออก


"ครอบครัวผมต้องรู้เรื่องนี้" เด็กชายกระซิบ


"เธอจะบอกครอบครัวก็ได้ แต่ต้องแน่ใจว่าญาติเธอจะไม่ไล่ฉันออกไปตอนนี้" นักเดินทางกำชับ


"วางใจได้เลย ครอบครัวผมมีเหตุผลพอ" เด็กชายพูดจบพร้อมๆกับเสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น ถ้าให้เดาคงจะเป็นมารดาของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะคนนี้


"แม่ผมเรียกกินข้าวพอดี คุณก็ไปกินด้วยกันสิ เรื่องของคุณเดี๋ยวผมจัดการเอง" เด็กชายขยิบตาให้ นักเดินทางหนุ่มยิ้มออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมและแว่นกันลมบนหัวออกเหลือเพียงชุดเดินทางที่ใส่มาแล้วเดินตามเด็กชายไป...



..........................

"เผ่าจิ้งจอก!!!"


"ครับ เผ่าจิ้งจอก" เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ว่าเมื่อใครก็ตามได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์กำเนิดของเขาแล้ว จะต้องมีอาการตกใจและหวาดกลัว ตอนนี้ก็เช่นกัน สมาชิกครอบครัวของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะกำลังสุมหัวกันซุบซิบอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถได้ยิน ซึ่งเขาและเด็กชายก็ได้แต่นั่งมอง เจ้าเด็กเผ่าเต่าหิมะดูจะมีความสุขเพราะเห็นว่านั่งยิ้มมาตั้งแต่คนอื่นๆเริ่มสุมหัว ผิดกับนักเดินทางที่นั่งหน้านิ่งแต่ในใจก็กลัวว่าจะโดนไล่ออกไปเผชิญพายุ


"เราได้ข้อสรุปแล้วครับ คุณนักเดินทาง" เสียงชายเผ่าเต่าหิมะผู้เป็นบิดาของเด็กชายพูดขึ้น


"...ในเมื่อคุณเดินทางมาไกล เพื่อที่จะตามหาดวงจิตของผู้นำของพวกคุณ เราชาวเผ่าเต่าหิมะก็พร้อมจะช่วยเหลือ เพียงแต่คุณต้องใส่สร้อยข้อมือเส้นนี้ไว้ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่" เต่าหิมะผู้พ่อยื่นสร้อยข้อมือสีเขียวให้นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกพลางอธิบายต่อ


"สร้อยข้อมือเส้นนี้สามารถจับเจตนาร้ายได้ ถ้าคุณพูดโกหกหรือคิดร้ายต่อเรา สร้อยข้อมือเส้นนี้จะส่งคุณไปจนถึงที่ที่คุณจากมา นั่นก็หมายความการที่คุณมาถึงที่นี่ก็จะสูญเปล่า เข้าใจนะ"


"ผมเข้าใจครับ" นักเดินทางรับสร้อยข้อมือสีเขียวมาใส่อย่างรวดเร็ว


"ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีต้อนรับครับ"




...................................

"เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าครอบครัวผมมีเหตุผลพอ" นักเดินทางและเด็กชายต่างเผ่าอยู่ด้วยกันอีกครั้งในห้องใหม่ เป็นห้องนอนแขกที่เต่าหิมะผู้พ่อได้จัดไว้ให้ เสียงลมพายุพัดหวือยังดังให้ได้ยิน เพียงแค่ติดว่าเขาจะต้องออกไปเดินท่ามกลางพายุอีกเขาก็รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เป็นธรรมชาติที่เผ่าจิ้งจอกจะไม่พิสมัยกับอากาศเย็นและหิมะ ยิ่งพายุหิมะยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ก็ดีมากแค่ไหน


"ขอบใจมาก" นักเดินทางมองดูสร้อยข้อมือสีเขียวที่เพิ่งได้รับมาอย่างสนอกสนใจ


"จะว่าไป.. ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนะ"


"เรียกฉันว่ามินฮยอนก็ได้" นักเดินทางพูด


"ผมชื่อจงฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เด็กชายพูดตอบ


"อายุเท่าไหร่"


"ปีนี้สิบหกครับ" นักเดินทางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว นับตั้งแต่ปรากฏการณ์บลูมูนและพิธีเสี่ยงทายเกิดขึ้น ก็ล่วงเลยมาสิบหกปีแล้ว ถ้าเด็กคนนี้เป็นดวงจิตแห่งเจ้าหญิงแห่งจันทรา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว


"เธอไปนอนได้แล้ว ฉันก็จะนอนเหมือนกัน"


"งั้น... ราตรีสวัสดิ์ครับ" เขาอยากตรวจสอบ แต่ก็ต้องพับเก็บไปก่อนเพราะเขาไม่เหลือพลังให้ทำอะไรต่อได้อีก แค่เดินทางก็เหนื่อยมากแล้ว และมินฮยอนคิดว่าเขาควรจะพักบ้าง และเขาเชื่อว่าการได้เจอพวกเต่าหิมะจะต้องเป็นชะตาบางอย่าง


เขาคิดว่าเขาคงต้องผูกมิตรกับคนพวกนี้เอาไว้... จนเมื่อเวลาที่สมควรมาถึง เขาจะเริ่มทดสอบว่าเด็กคนนี้ใช่ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราหรือไม่




จนกระทั่งวันหนึ่ง...


"คุณมินฮยอน ช่วยแสดงหางของคุณให้ดูได้มั้ยครับ" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น


นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ทันใดนั้นเอง หูและหางสีขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกก็แผ่ออกมาจากร่างของนักเดินทางพร้อมๆกับคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเจ้าของหางนั้นด้วย


เขาไม่คิดว่าโอกาสจะมาถึง การทดสอบว่าใครคือดวงจิตแห่งเจ้าหญิงจันทราคือ..การแสดงตัวตนแห่งเผ่าจิ้งจอก และหลังจากที่มินฮยอนปรับคลื่นพลังในร่างได้ เขาก็หันมองเด็กชายที่กำลังนิ่งค้าง... นิ่งพอๆกับตอนที่รู้ว่าเขามาจากเผ่าจิ้งจอก


จงฮยอนจะไม่ตกใจเลยสักนิด ถ้าจำนวนหางของมินฮยอนไม่ใช่เก้า ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดที่เผ่าจิ้งจอกสามารถมีได้ แสดงว่าระดับพลังของมินฮยอนนั้น สามารถทำให้หมูบ้านของเขาหายไปได้เพียงกระดิกนิ้วหรือกระทืบเท้าเบาๆ


"จิ้งจอกเก้าหางตัวเป็นๆ..." เด็กชายเผ่าเต่าหิมะถึงกับล้มฟุบไปในทันทีที่เห็นร่างครึ่งจิ้งจอกของนักเดินทาง ...มินฮยอนถอนหายใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าการทดสอบคงไม่ได้ผล ก่อนจะเก็บหูและหางเข้าไปเหมือนเดิมแล้วอุ้มร่างเด็กชายกลับไปไว้ที่ห้องนอน



..................................

แสงแดดที่ให้ความร้อนเพียงน้อยนิดปลุกผู้คนให้ตื่นจากการหลับไหล มินฮยอนและครอบครัวเต่าหิมะเองก็เช่นกัน นักเดินทางเก็บสัมภาระของเขาใส่กระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวเดินทางต่อ


"นั่นเธอจะไปไหน" เสียงคุ้นหูของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะดังขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้เสียงนั้นดูอบอุ่นและใจดีกว่าที่เคย


"ฉันจะ..." เหมือนเสียงถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เด็กชายเผ่าเต่าหิมะที่ดวงตาเคยเป็นสีดำสดใส กลายเป็นสีฟ้าสด


การทดสอบได้ผล เด็กคนนี้... ดวงจิตแห่งเจ้าหญิงจันทรา


"เธอ..." มินฮยอนโค้งตัวคำนับเด็กชายที่ตอนนี้กลายเป็นใครอีกคน


"เธอคือคนของเผ่าจิ้งจอกนี่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ" เด็กชายยิ้มอย่างใจดี นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองนักเดินทางอย่างสงสัย


"ผมมาตามหาดวงจิตแห่งท่าน ตอนนี้เผ่าของเรากลายเป็นโจรกันไปหมดเพราะพวกหมาป่า" มินฮยอนตอบ


เขากำลังดีใจ เพราะเขาตามหาสิ่งที่ต้องการเจอในที่สุด ดวงจิตของเจ้าหญิงจันทรากำลังคุยกับเขา และสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือ การพาดวงจิตกลับไปยังเผ่าของเขา และปลดปล่อยชาวเผ่าให้พ้นจากอำนาจของพวกเผ่าหมาป่า


"อย่างนั้น... เราควรทำยังไงดีล่ะ" เด็กชายขมวดคิ้ว


"ท่าน... จะกลับไปกับผมได้หรือไม่"


"ได้สิ" มินฮยอนกำลังจะยิ้ม แต่กลับชะงักลง เพราะร่างของดวงจิตแห่งเจ้าหญิงนั้นยังเป็นเด็กผู้ชายต่างเผ่า ที่ไม่เกี่ยวกับการสูญเสียหรือสงคราม ถ้าจะพาไปด้วยทั้งแบบนี้ล่ะก็...


"คุณพาเขาไปเถอะค่ะ เรารู้อยู่แล้ว" เสียงมารดาของจงฮยอนพูดขึ้น


"เด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ได้หมายถึงว่าที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเพราะดวงจิตของจงฮยอนมีสองดวง คุณเข้าใจใช่มั้ย" ...อีกดวงหนึ่งเป็นของเจ้าหญิงแห่งจันทรา ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด


"แต่.. ดวงจิตสองดวงนี้ผูกพันกัน ถ้าดวงหนึ่งไม่อยู่ อีกดวงก็จะ..."


"แล้วคุณมาบอกให้ผมพาเขาไปได้เลย!?! แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคุณสิ นั่นลูกคุณนะ" มินฮยอนเถียง


"เราทำใจไว้แล้ว คุณพาเขาไป--"

"ผม.. ต้องตายจริงๆเหรอครับ" มินฮยอนหันกลับมามองใบหน้าของเด็กชายอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาเปลี่ยนกลับเป็นสีดำตามเดิม


เด็กคนนี้คือจงฮยอน... เด็กชายเผ่าเต่าหิมะ


"ผมต้องตายจริงๆเหรอ แล้ว แล้ว...ถ้าผมตาย เผ่าคุณจะรอดแน่ๆใช่มั้ย" จงฮยอนเดินมาเขย่าเสื้อคลุมของนักเดินทาง


"ถ้าให้บอกตามตรง...ฉันก็ไม่แน่ใจ" มินฮยอนส่ายหน้า เพราะจริงๆแล้ว ในใจของเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่า ถ้าได้ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทรากลับคืนไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อ


"แต่ฉันคิดว่ามันคงจะมีทางออกให้ทั้งเผ่าฉัน และเธอได้"


"พ่อ.. แม่.." เด็กชายวิ่งเข้าไปกอดทั้งเต่าหิมะผู้พ่อและแม่ ก่อนจะพูดกับพวกท่าน


"ถ้าผมไม่อยู่แล้ว.. ดูแลตัวเอง.. ดีๆนะ" เด็กน้อยกลั้นสะอื้น พลางยิ้มให้ ก่อนจะผละออกแล้วเดินไปหามินฮยอน


"โอเค ผมพร้อมแล้ว"


"เธอแน่ใจนะ"


"ครับ" สิ้นเสียง มินฮยอนก็คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ ก่อนที่เด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะจะฟุบลงไปอีกครั้ง แล้วตื่นขึ้นมาใหม่พร้อมนัยน์ตาสีฟ้า


ครั้งแรกที่ได้เห็นร่างจริงของเขาก็คงจะไปปลดล็อกดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราแน่ๆ ถึงได้สลบฟุบไปทั้งแบบนั้น และเพราะเป็นครั้งแรก ร่างกายจึงไม่ชินและทำให้ไม่ตื่นจนถึงรุ่งเช้า


"ลาก่อน ...และขอบคุณ" เจ้าหญิงจันทราในร่างจงฮยอนเอ่ย


"เราเข้าใจ ไปเถอะ อย่าให้การตายของจงฮยอนเสียเปล่า" เต่าหิมะผู้พ่อบอกลา เจ้าหญิงในร่างเด็กผู้ชายจึงสั่งให้มินฮยอนออกจากบ้านไป


...กลับไปยังป่าทางใต้ บ้านเกิดที่แท้จริงของเจ้าหญิงแห่งจันทรา...



.............................

"อยู่ไหนกันนะ..." เด็กชายเอ่ยขึ้น นัยน์ตายังคงเป็นสีฟ้าสด ในขณะที่มินฮยอนกำลังวิ่งกลับหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นของพวกหมาป่า

สถาพแวดล้อมดีกว่าแต่ก่อนมากก็จริง อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นแดนของศัตรู


"ถึงแล้วครับ" มินฮยอนคืนร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ที่เขาใช้ฝึกเมื่อยังเป็นเด็ก


"เราเข้าไปกันเถอะ" เด็ยชายพูด ก่อนจะเดินเข้าไปในฐานลับนั้น


ใช้เวลาไม่นาน ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงด้านในสุดของฐาน เหล่าชาวเผ่าจิ้งจอกต่างพากันสงสัยว่าใครกันที่กลับมาพร้อมกับนักเดินทาง จนเมื่อมินฮยอนแนะนำว่าเด็กชายคือผู้มีดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทรา ชาวเผ่าจึงส่งเสียงเฮลั่น และพากันจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น


ทั้งหมดถูกจัดขึ้นอย่างลับๆ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พวกหมาป่ารู้ว่าพวกเผ่าจิ้งจอกที่ควรจะกลายเป็นทาสได้มีงานเลี้ยง


"ได้ดวงจิตมาแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อ" มินฮยอนถามขึ้น


"ไม่หรอก เราต้องแยกดวงจิตของเจ้าหญิงจากเด็กคนนั้นก่อน" ผู้เฒ่าจิ้งจอก ผู้อาวุโสประจำหมูบ้านกล่าวขึ้น


"หมายความว่ายังไงครับ"


"เราต้องฆ่าเด็กคนนั้น ฝากจัดการด้วยนะมินฮยอน"



.................................

เขากำลังคิดไม่ตก ถึงแม้จะรู้ว่าจงฮยอนจะต้องตายอยู่ดีเขาก็ยังลังเล เขาไม่อยากทำลายชีวิตคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเหตุผลที่ต้องทำลายจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ที่สำคัญ... เขาไม่อยากทำร้ายจงฮยอน ไม่อยากเลยสักนิด


"คิดอะไรอยู่เหรอครับ" จงฮยอนที่กลับมาเป็นเด็กชายเผ่าเต่าหิมะถามขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทที่มีประกายเหมือนบรรจุดวงดาวนับพันไว้ข้างในจ้องมองเขาอยู่


"เขาบอกให้ฉันฆ่าเธอ ทำยังไงดีล่ะ" มินฮยอนนั่งลงบนพื้นหญ้า จ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหนาปกคลุมและฝนคงจะตกในอีกไม่ช้า


"งั้นเหรอครับ..." เด็กชายนั่งลงข้างๆ ใบหน้าไม่ได้มีความเศร้าหมองแต่อย่างใด


"ฉันไม่อยากฆ่านาย อย่างน้อยๆก็ไม่อยากเป็นคนลงดาบ" มินฮยอนกำลังสับสน.. เด็กชายรู้ แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน


"มันไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ"


"อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับคุณ บางที หลับหูหลับตาฆ่าผมไปซะ อาจจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้น" จงฮยอนพูด ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวตาย เขาเองก็มีความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่เขาแค่คิด... คิดว่าถ้าเขาตายเพียงคนเดียว แลกกับการที่ชาวเผ่าจิ้งจอกจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง มันก็คุ้มค่าที่จะตาย


"เธอพูดเหมือนเธออยากตายงั้นแหละ"


"ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากตายหรอก" จงฮยอนทำแก้มป่อง พลางนึกโกรธคนกำหนดชะตาของเขา นี่ถ้าวิญญาณของเขาได้ไปเจอคนคนนั้นนะ พ่อจะด่าจนกว่าจะเกิดใหม่เลยคอยดู


"งั้นก็อย่าพูดแบบนี้อีก ถ้ายังไม่อยากตาย"


"ก็ผมเลือกไม่ได้จริงๆนี่!! เฮ้!!!" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะตะโกนไล่หลังนักเดินทางเผ่าจิ้งจอกที่หันหลังเดินกลับที่พักไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมานั่งมองท้องฟ้าที่มืดหม่น หลังจากที่มินฮยอนเดินลับสายตาไป


"นี่ พี่สาวที่อยู่ในร่างผมน่ะ คุณเป็นเจ้าหญิงเหรอ"




..................................

พิธีแยกดวงจิตเกิดขึ้นอย่างลับๆ ภายในฐานลับของเผ่าจิ้งจอก แท่นพิธีคือก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกเขียนวงเวทไว้จนทั่วและเสาไม้ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง จงฮยอนถูกจับมัดไว้กับเสาต้นนั้นโดยมีมินฮยอนมองอยู่ตลอด แต่เด็กชายก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าหวาดกลัวอะไร ซ้ำยังยิ้มให้มินฮยอนอีกต่างหาก


เด็กคนนี้ช่างเข้มแข็ง.. ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังยิ้มได้อยู่อีก


จนเมื่อพิธีเริ่มขึ้น มินฮยอนก้าวขึ้นไปบนแท่นหิน ในมือถือดาบเหล็กที่ถูกลับอย่างดีจนคมกริบ พร้อมที่จะฟันอะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมายให้ขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย


"เธอ... แน่ใจแล้วจริงๆเหรอ"


"จะฟันก็ฟันมาน่า อย่าลีลาเลยครับ"



ยังจะทำเป็นเล่น.. ทั้งๆที่น้ำตาไหลอยู่นั่นเนี่ยนะ เขาไม่เข้าใจจริงๆ



"หลับตาลงซะ ถือว่าขอร้องนะ" มินฮยอนพูดเสียงสั่นอย่างพยายามอดทน เมื่อเห็นว่าจงฮยอนหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกจึงเงื้อดาบขึ้น...



ฉับ!!

..................................


.........................


...............


..........


.......


....


..


.


.


.

"จับตัวมันไว้!!!!!" เสียงผู้อาวุโสเผ่าจิ้งจอกดังขึ้น ทันทีที่มินฮยอนตัดเชือกที่พันธนาการร่างจงฮยอนจนขาดกระจาย ในขณะที่ทุกคนกำลังงงในสิ่งที่เกิดขึ้น มินฮยอนก็แปลงเป็นจิ้งจอก ก่อนจะพาจงฮยอนที่งงไม่แพ้กันหนีจากลานพิธีทันที


"ทำอะไรของคุณน่ะ!!! แล้วพิธี..."


"อย่าพูดมาก!! ตอนนี้ต้องหนีก่อน" พูดจบ มินฮยอนก็เร่งฝีเท้าเข้ามาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ในป่าลึก ซึ่งลึกเกินกว่าเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกจะสามารถบุกรุกได้


สถานที่ในตำนาน... พระราชวังของเจ้าหญิงแห่งจันทรา


"ที่นี่มัน... บ้านของเรานี่" เมื่อนัยน์ตาของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอีกครั้ง เจ้าหญิงแห่งจันทราเดินเข้าไปในปราสาทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาหามินฮยอนอีกครั้ง


"ขอบใจที่พาเรามาที่นี่นะ นึกว่าจะต้องตายจริงๆซะแล้ว" เด็กชายถอนหายใจออกมา


"ผมไม่เข้าใจ.. ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่ต้องฆ่าล่ะ"


"เรารู้ความเป็นไปของเผ่าตลอด และรู้ด้วยว่าท่านผู้อาวุโสนั่นต้องการดวงจิตของเราไปผสานกับศาตราวุธ แล้วเขาจะขึ้นครองอำนาจและกวาดล้างพวกหมาป่า" เจ้าหญิงค่อยๆอธิบาย


"แต่นั่นมันก็ดีแล้วนี่ครับ"


"นั่นมันนานมาแล้วนะ ตอนนี้พวกหมาป่าและจิ้งจอกได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว มีแต่พวกผู้อาวุโสนั่นแหละ ที่ยังคิดอยากจะเป็นใหญ่่เหนือพวกหมาป่า เธอไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมเธอถึงเข้าเขตป่ามาได้โดยไม่ถูกตามล่าน่ะ"


"จริงด้วย.." มินฮยอนนึกได้ ว่าตลอดระยะทางที่เขาวิ่งเข้าป่ามานั้น ไม่มีพวกหมาป่าวิ่งตามเขาเลย ทั้งๆที่พละกำลังและความเร็วระหว่างหมาป่าและจิ้งจอกก็ไม่ได้ต่างกันมาก เผลอๆ หมาป่าอาจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ


"เป็นนักเดินทางก็ต้องช่างสังเกตหน่อยสิ" เจ้าหญิงว่ายิ้มๆ


"แต่ท่านก็ต้องอยู่ในร่างนี้ตลอดไปเหรอ แม่ของจงฮยอนบอกว่าดวงจิตของท่านกับจงฮยอนผูกพันกันนี่"


"ก็ใช่ จริงๆ มันมีวิธีแยกดวงจิตอยู่นะ แต่ก็นะ ไม่มีดวงจิตให้แยกบ่อยๆ พิธีนี้ก็เลยเลือนหายไปตามกาลเวลา ผู้คนก็เลยคิดว่าต้องทำให้ดวงจิตต้นตายไป ดวงจิตรองจึงจะได้รับการปลดปล่อย" เจ้าหญิงจันทราพูด พริบตาเดียว ก็มีหนังสือเล่มโตมาอยู่ในมือ



หนังสือเล่มนั้นดูจะใหญ่กว่าศีรษะของเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะเสียอีก



"อ่า เจอแล้ว มินฮยอน ฝากด้วยนะ" ตำราเล่มโตลอยมาทางนักเดินทาง มินฮยอนเริ่มต้นอ่านตำราอย่างตั้งใจ เจ้าหญิงแห่งจันทราเอง เมื่อเห็นว่ามินฮยอนกำลังตั้งใจอ่านตำรา จึงค่อยๆหายไป เด็กชายเผ่าเต่าหิมะคนเดิมกลับมาอีกครั้ง..


"คุณมินฮยอน... ผมไม่เข้าใจ" ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะต้องตาย กลับรอดมาได้เสียอย่างนั้น


"ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" มินฮยอนพูดโดยไม่มองหน้า


"แล้วผม... ยังต้องตายอยู่มั้ยครับ"


"คงไม่ต้องแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ฉันไม่รู้ในระหว่างที่ฉันออกไปจากป่านี่หลายเรื่องเลยด้วย"


"...."


"แต่ตอนนี้ต้องปล่อยดวงจิตของเจ้าหญิงในตัวเธอก่อน"


"...เอ๋"




.......................................

ภายหลัง มินฮยอนได้รู้ว่า ระหว่างที่เขากำลังฝึกฝนตัวเองเพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงอยู่นั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมาป่าได้ตกลงทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกัน แต่มินฮยอนที่ถูกพูดกรอกหูทุกวันๆว่าพวกหมาป่าไม่ดีอย่างนั้น เลวอย่างนี้ จึงทำให้คิดว่าหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งเมื่อถูกให้ฝึกแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนผู้ฝึกก็ไม่ใช่โคร ก็ผู้อาวุโสนั่นแหละ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้เขาแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้



จนได้เจอจงฮยอนนั่นแหละนะ



"ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย" มินฮยอนเอ่ยขึ้น เมื่อเขาพาจงฮยอนที่ยังคงมีดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราในร่างกายกลับเข้ามายังหมูบ้านอีกครั้ง และเจ้าหญิงก็ได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งสั่งให้ลงโทษผู้อาวุโสและผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว


"ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าผมยังไม่ตาย ผมยังไม่ตาย!! ฮ่าๆๆๆ" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะกระโดดกอดนักเดินทาง ก่อนจะได้สติและผละออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่วนนักเดินทางเองก็เหมือนว่าจะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงที่หูมากเป็นพิเศษ


"ทุกคนได้ยินกันแล้วนะครับ ทีนี้ ผมอยากให้ทุกคนร่วมมือกับผม"

.

.

.

พิธีแยกดวงจิตสำเร็จไปได้ด้วยดี ดวงจิตของเจ้าหญิงได้รับการปลดปล่อย ทั้งชาวเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกต่างพากันยกย่องให้มินฮยอนขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายจิ้งจอกคู่กับผู้นำฝ่ายหมาป่าไล ควานลิน ส่วนผู้อาวุโสจอมหลอกลวงและผู้สมรู้ร่วมคิดก็ถูกลงโทษไปตามระเบียบ


บทลงโทษของเขาไม่ได้รุนแรงอะไรมากนักหรอก เพราะเขายังนับถือผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพ เขาจึงแค่เนรเทศออกนอกป่าเท่านั้น ...อย่างน้อยๆก็ดีกว่าประหาร เขาไม่อยากจะฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น


"แบบนี้.. มันดีแล้วเหรอครับ" ยู ซอนโฮ องครักษ์ของผู้นำฝ่ายหมาป่า ควบตำแหน่งภริยาของควานลินถามขึ้น


"ผมว่าแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว" มินฮยอนตอบ พลางเหลือบไปมองเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะ


"อะแฮ่ม!! ถึงที่นี่จะไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่การพรากผู้เยาว์ก็มีความผิดนะครับ" ผู้นำฝ่ายหมาป่าพูดขึ้นบ้าง


"ภริยาคุณนี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ" มินฮยอนหันไปมองควานลิน ก่อนที่ทั้งสองจะส่งเสียงแง่งๆใส่กัน สร้างความตลกขบขันแก่ชาวเผ่าจิ้งจอกและหมาป่าที่มาร่วมพิธีแต่งตั้งผู้นำฝ่ายจิ้งจอก


"จงฮยอนๆ เราว่าเราไปทางนู้นกันเถอะ เราหิวแล้ว" ซอนโฮเดินมาดึงแขนจงฮยอนให้อยู่ห่างๆจากผู้ใหญ่ใจบาปทั้งสอง


"อ่า.. โอเค ไปก็ไป" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะพยักหน้าหงึกหงัก พลางเดินตามแรงดึงไป




บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีใครต้องเสียชีวิต คนผิดโดนลงโทษ... แบบนี้แหละ ดีแล้ว


END.....





เหรอออออออออออออออออออออออออออออออ




.................................................

สองปีผ่านไป...


"แม่!!! พ่อ!!!! ผมกลับมาแล้วววววววววววววววววว!!!!!!!!"


"ใครมาตะโกนลั่น--จงฮยอน!!!" มินฮยอนมองสามพ่อแม่ลูกกำลังกอดกันอยู่หน้าบ้าน คือลืมไปหรือเปล่าว่าเขาไม่ชอบอากาศเย็น ถ้าปล่อยเขาไว้ข้างนอกนานๆเขาคงจะต้องแข็งตายแน่ๆ



ใช่สิ เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษอย่างเต่าหิมะนี่



"ลูกยังมีชีวิต ขอบคุณพระเจ้า แต่ทำไม..."


"ไว้ค่อยเล่านะพ่อ ตอนนี้ให้คุณมินฮยอนเข้าบ้านก่อนเถอะ ก่อนที่เขาจะแข็งตาย" ขอบคุณจงฮยอนที่ยังไม่ลืมว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้นะ

.

.

.

"แบบนี้นี่เอง... " เต่าหิมะผู้พ่อพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ


"เหมือนลูกยังเล่าไม่หมดนะจงฮยอน ปิดอะไรอยู่รึเปล่า" แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่ สามารถจับผิดลูกได้ตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน



คุณไม่สามารถโกหกคนเป็นแม่ได้พอๆกับการโกหกตัวเอง ...จริงๆนะ



"แม่... คือว่า" จงฮยอนอ้ำอึ้ง พลางมองมินฮยอนสลับกับหน้าคนเป็นแม่


"เข้าใจแล้ว--"


"ห้ะ??"


"เอาไปเลยคุณนักเดินทาง แม่ยกให้" ผู้ชายในบ้านทั้งสองคนได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก แม่ของเขาพูดเรื่องอะไรอยู่กันนะ


"จะเอาอะไรให้เขาอ่ะคุณ" เต่าหิมะผู้พ่อถาม


"เอ้า ก็คุณนักเดินทางเนี่ย ถ้าฉันเดาไม่ผิด คุณชอบลูกชายแม่ใช่มั้ย"



ความจริงอีกข้อคือ... แม่น่ะ เซนส์แรงมากๆๆ



"เอาเป็นว่าแม่รับรู้ ยกให้ไปเลย" มินฮยอนยิ้มกว้าง ที่เขาพาจงฮยอนกลับบ้านมาก็เพราะว่าจะมาคุยเรื่องนี้กันด้วยนั่นแหละ


"พูดถึงอะไรกันอยู่เนี่ย..." จงฮยอนผู้ซึ่งไม่เคยทันเหตุการณ์อะไรกับใครเขาได้แต่นั่งงง เขาอยากจะพูดแทรกแม่เหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ



ตอนตกลงกันทีแรกยังไม่มีเรื่องนี้ด้วยเลยนี่ มินฮยอนนี่เจ้าเล่ห์ชะมัด



"คือที่ผมจะบอกแม่ก็คือ ต่อจากนี้ผมคงจะต้องไปอยู่ที่นู่นอ่ะ"


"ไม่ทันแต่งก็จะหนีตามผู้ชายไปแล้วลูกฉัน"


"ไม่ใช่ดิแม่ ผมเป็นถึงที่ปรึกษาของผู้นำฝ่ายจิ้งจอกเลยนะ ลูกแม่โตจนมีงานทำแล้ว"


"จ้าาา โตก็โตจ้า"


"ลูกจะแต่งงานแล้วเหรอจงฮยอน" เต่าหิมะผู้พ่อหันไปถามลูกชายบ้าง


"นี่ก็ไม่ทันอะไรเขาสักที เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก" เต่าหิมะผู้เป็นแม่ตีป้าบเข้าที่ไหล่สามี พลางปรายตามองลูกชายที่นั่งทำหน้างงไม่แพ้กัน


"ช่างพวกเขาเถอะ คุณนักเดินทาง"


"เรียกผมว่ามินฮยอนเฉยๆเถอะครับ"


"โอเค คุณมินฮยอนเฉยๆ ล้อเล่นจ้ะ มินฮยอน เธอรักลูกชายฉันจริงๆเหรอ"


"สาบานด้วยตำแหน่งผู้นำฝ่ายจิ้งจอกครับ" ได้ฟังดังนั้น เต่าหิมะผู้เป็นแม่ก็ยิ้มออก ก่อนจะปรับท่าทางให้ดูป็นทางการมากขึ้น


"อยู่ที่นู่นก็ฝากเจ้าจงฮยอนมันด้วยนะ ขอบคุณที่เขายังมีชีวิต"


"จริงๆคุณมาอยู่กับเราได้นะครับ"


"ไม่ล่ะ จิ้งจอกไม่ชอบอากาศเย็น พวกเราเต่าหิมะก็ไม่ชอบอากาศร้อนเหมือนกัน อีกอย่างคุณคนนี้เขาต้องดูแลหมู่บ้านด้วยน่ะ ถ้าไม่อยู่นี่แย่เลย" มินฮยอนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ สักพักทั้งเต่าหิมะผู้พ่อและแม่ก็แยกย้ายกันไปทำงาน


"ร้ายนะคุณ"


"แบบนี้แหละ ดีแล้ว"


ใช่.. แบบนี้แหละ ดีแล้ว


-----------------------------

END (จริงๆละ)

-----------------------------

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

#มินเจรายปักษ์ 5th Theme - EYES

----------------------

ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้ตาบอด...ผมจะได้เจอคุณไหม?

----------------------

วันหนึ่งกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ หิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วท้องถนนหนทาง รวมไปถึงตึกสูงและบ้านเรือน มองไปทางไหนก็เป็นสีขาวโพลน ทั้งดูสงบ และโดดเดี่ยว ท่ามกลางหิมะสีขาวสว่าง และอากาศอุณหภูมิติดลบ ก็ยังคงมีผู้คนเดินขวักไขว่ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน บ้างก็ไปทำงาน บ้างก็ไปโรงเรียน บ้างก็แค่ออกมาซื้อหนังสือพิมพ์สักเล่มกลับไปนอนอ่านที่บ้าน หรือซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าให้แก่คนในครอบครัว


ผู้คนในเมืองใหญ่ก็แบบนี้ เร่งรีบ และต่างก็มีชีวิตที่ส่วนตัว


เช่นเดียวกับเขา ที่ซึ่งกำลังรีบร้อนเพราะอีกไม่กี่นาที เขาจะถูกตัดเงินเดือนเพราะไปทำงานสาย ร่างเล็กที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยโค้ทตัวหนาและผ้าพันคอเดินจ้ำอยู่ริมฟุตบาทที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆอย่างเร่งรีบ ลมหายใจเหนื่อยหอบถูกพ่นออกมาเป็นไอหนาม้วนตัวตามแรงลมที่พัดผ่านไป โชคดี ที่บริษัทที่เขาทำงานอยู่นั้นไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ทำให้เขาพอจะเดินมาได้ ถนนหน้าบ้านเขาจะมีรถติดเสมอในช่วงเวลาเร่งด่วน นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะชอบใจนัก เลยเลือกที่จะเดินมาทำงานแทนการขับรถ


"เกือบไม่ทันแน่ะจงฮยอน ทำไมวันนี้สายได้ล่ะ" เพื่อนร่วมงานสาวเดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นว่าเขามาถึงที่ทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


"เราตื่นสายอ่ะ เมืื่อคืนอากาศเย็นมากเลย นอนไม่หลับ ขนาดเปิดฮีทเตอร์แล้วนะ" ร่างเล็กแขวนเสื้อโค้ทและถอดผ้าพันคอออกพลางบ่นกระปอดกระแปดถึงอากาศในเวลากลางคืนที่หนาวจับจิตจับใจ


"ฤดูหนาวที่นี่ก็แบบนี้แหละ ทำใจนะ" เพื่อนสาวตบบ่าเขาเบาๆ จงฮยอนได้แต่ยักไหล่ ก่อนจะตรงเข้าประจำที่โต๊ะทำงานที่ติดจะรกอยู่เสมอของเขา


"ฉันว่านายควรจัดโต๊ะทำงานของนายได้แล้วนะ รกมากๆ" เพื่อนสาววางแก้วกาแฟร้อนควันลอยฟุ้งลงบนโต๊ะ จงฮยอนผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณแล้วจิบกาแฟแก้วนั้นช้าๆ เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น


"โต๊ะเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่ ลิซ่าไปทำงานเถอะ เดี๋ยวบอสดุเอานะ"


"ค่าา ตั้งใจทำงานล่ะ"


"เธอก็ด้วย"

...................................

ช่วงเวลาแห่งการทำงานและเอกสารได้ผ่านพ้นไปจนถึงเวลาที่ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ซึ่งนั่นหมายถึง เวลาเลิกงานของเขา ...จงฮยอนเดินเอื่อยๆกลับบ้าน เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ที่บ้านมีสมาชิกคือเขาแค่คนเดียว จงฮยอนไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่สิ ต้องบอกว่าเคยมีสัตว์เลี้ยง แต่ตอนนี้เจ้าเพื่อนร่วมบ้านหนึ่งเดียวของเขาได้ตายจากไปหลายปีแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะเลี้ยงอะไรอีก


เพราะแบบนั้น บ้าน ของเขาจึงไม่อาจจะเรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปากนัก บ้านของเขาว่างเปล่า ไม่มีความทรงจำอะไรที่เมื่อนึกถึงแล้วจะชวนให้อบอุ่นหัวใจ เขาตัวคนเดียวมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนเด็กก็แค่เดินทางไปโรงเรียน แล้วก็กลับบ้าน พอโตมาก็ยังแค่เดินทางไปทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ชีวิตวนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ถามว่าเขาเบื่อมั้ย คงจะต้องตอบว่าเบื่อจนชินชาไปแล้ว เพราะตราบใดที่เขายังอาศัยและทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ยังคงต้องเบื่อวิถีชีวิตแบบนี้ต่อไปจนกว่าเขาจะเกษียณ หรือว่าตายก่อนล่ะนะ


ฉับพลัน นัยน์ตาเรียวก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่ง เขาคงจะไม่ติดใจอะไรและเดินต่อเพื่อกลับบ้าน ถ้าชายคนนั้นไม่ได้กำลังยิ้ม... เขายิ้มให้อะไรกันแน่ ยิ้มให้อากาศอันหนาวเหน็บ ยิ้มให้กับหิมะที่โปรยปราย หรือยิ้มให้กับแสงดาวที่ส่องประกายในเวลากลางคืน


รู้ตัวอีกที.... เขาก็มาหยุดยืนตรงหน้าชายคนนั้นแล้ว


จงฮยอนจ้องเข้าไปในดวงตาเลื่อนลอยของชายที่นั่งอยู่บนม้านั่ง นัยน์ตาสีขุ่นบ่งบอกให้รู้ว่าชายตรงหน้าสูญเสียการมองเห็น.. แต่ถ้าเขาไม่ได้ยิ้มให้หิมะสีขาว หรือดวงดาวนับพัน เขายิ้มให้อะไรกันแน่นะ...


จงฮยอนยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อคนตรงหน้าเริ่มร้องเพลง น้ำเสียงของเขาดีทีเดียว หวานใสและกังวาน จงฮยอนยืนฟังนิ่งๆจนเขาร้องเพลงจบ จึงเริ่มปรบมือให้เพื่อชมเชย


"เสียงคุณเพราะ"


"อ่า ขอบคุณครับ คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" ชายตาบอดลูบท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาได้ยินเขาร้องเพลงในเวลาแบบนี้


"ก็..ตั้งแต่ที่ผมเห็นว่าคุณยิ้ม คุณยิ้มให้กับอะไรเหรอครับ" จงฮยอนถามขึ้น เขาไม่คิดว่าในเวลาแบบนี้จะมีอะไรให้เขายิ้มได้ นอกจากการโถมตัวลงบนเตียงนุ่มๆและห่มผ้าอุ่นๆที่บ้าน


"ผมยิ้มให้กับคู่รักที่กำลังฉลองงานแต่งอยู่ในโบสถ์ครับ" คำตอบที่จงฮยอนได้รับ กลับทำให้เขาขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก คู่รักในโบสถ์? มีโบสถ์อยู่แถวนี้ก็จริง แต่เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกว่ากำลังมีคนกำลังจัดงานแต่งงานเลยนี่


"คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่ามีคนกำลังจัดงานแต่งงาน" ชายตาบอดคนนั้นยิ้ม ก่อนจะตบลงบนที่ว่างข้างๆตัว


"มานั่งด้วยกันสิคุณ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง" ร่างเล็กค่อยๆเดินไปนั่งข้างๆชายตาบอดคนนั้น และเมื่อชายตาบอดรู้ว่าเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มเล่าเรื่องของเขา


"ผมตาบอด" เขาเกริ่นขึ้น


"ผมคิดว่าคุณคงจะรู้ ว่าคนตาบอดน่ะมองไม่เห็น แน่นอนใครๆก็รู้"


"แต่เชื่อมั้ยครับ เมื่อสูญเสียสภาพการมองเห็นไปแล้ว ผมกลับได้รับรู้สิ่งต่างๆ จากทั้งการฟัง การได้กลิ่น การสัมผัส หรือถูกสัมผัส ผมใช้ประโยชน์จากประสาทสัมผัสที่เหลือนี้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นคำตอบที่ว่าทำไมผมถึงรู้ว่ากำลังมีงานแต่งงานอยู่ในตอนนี้"


"ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ" จงฮยอนหันไปมองทางโบสถ์ที่ว่า ที่นั่นมีแสงสี ใช่ แต่มันอาจจะไม่ใช่งานแต่งก็ได้นี่


"คุณลองหลับตาลง.. ใช้หูฟังเสียงรอบตัวดูสิ แล้วคุณจะรู้" ในทีแรก จงฮยอนยังไม่ไว้ใจคนตรงหน้านัก แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองไปข้างหน้า ที่อาจจะมืดมิดหรือเลือนลาง


เสียงบรรเลงของดนตรีดังแว่วเข้ามาให้โสตประสาทเมื่อหลับตาลง เป็นเพลงที่ใช้ในงานแต่งเท่านั้นเสียด้วย เขาใจแล้วว่าทำไมคนข้างๆเขาถึงได้รู้


"เข้าใจแล้วครับ" จงฮยอนลืมตาขึ้น


"ฮะๆๆ ผมไม่คิดว่าคุณจะทำจริงๆนะเนี่ย" ชายตาบอดหัวเราะเบาๆ


"ทำไมล่ะครับ" มีเรื่องให้เขางงอีกแล้ว นัยน์ตาเรียวมองหน้าชายตาบอดที่ยังคงยิ้มอยู่ เขายิ้มสวย ใช่ นอกจากร้องเพลงเพราะก็รอยยิ้มนี่แหละ ที่ทำให้เขาติดใจชายคนนี้


"เพราะเขาคิดว่าผมเพ้อเจ้อน่ะสิ เขาเห็นผมนั่งอยู่คนเดียวก็คิดไปถึงไหนแล้ว ผมแค่มาเดินเล่นเท่านั้นเอง" ชายตาบอดพูดพลางโบกไม้เท้าไว้สำหรับนำทางในมือไปมา จงฮยอนลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น


"ผมขอถามชื่อคุณได้มั้ยครับ"


"ผมชื่อมินฮยอน ฮวังมินฮยอน" จงฮยอนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะพูดต่อ


"คุณมินฮยอน ตาของคุณเป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วครับ" จงฮยอนถามเบาๆ เพราะเขาคิดว่า บางที คนตรงหน้าเขาอาจจะโกรธ


"ตาของผมเหรอ ก็สักสามปีได้แล้วมั้ง ผมประสบอุบัติเหตุน่ะ"


"อ่า.. ขอโทษนะครับ" จงฮยอนกุมมือตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี


"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมาก" มินฮยอนโบกมือไปมาตรงหน้าตัวเอง เพราะไม่อาจเห็นว่าคู่สนทนาจะกำลังมองเขาอยู่หรือไม่


"คุณมาที่นี่ทุกวันเลยรึเปล่าครับ" มินฮยอนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ


"ผมเดินไปเรื่อยๆน่ะครับ อยากไปไหนก็เรียกรถ หรือขอเขาติดรถไป อ่อ ผมไม่มีบ้านหรอกนะ" จงฮยอนทำท่าคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง ที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพูดกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก


"คุณ... มาอยู่กับผมมั้ยครับ"


................................


การต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ไม่ใช่สิ่งที่คิมจงฮยอนชินชากับมัน เรียกได้ว่านี่เป็นอะไรบางอย่าง ที่จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป... ไม่มากก็น้อย

"คุณนั่งนี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้" จงฮยอนพูด ก่อนจะเดินเข้าครัวหลังจากพามินฮยอนนั่งลงบนโซฟาตัวเล็ก


"ขอบคุณครับ แต่คุณ.. แน่ใจเหรอครับว่าจะให้ผมอยู่ด้วย" มินฮยอนถามขึ้นพลางจิบน้ำที่คนตัวเล็กเอามาให้


"ผมอยู่คนเดียว ที่นี่ก็บ้านของผมด้วย ผมจะพาใครมาอยู่ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ครับ"


"มันแปลกที่ว่าคนที่คุณพามาอยู่ด้วยเป็นคนเร่ร่อนแถมยังตาบอดด้วยนี่แหละครับ"


"ฮะๆๆๆ ผมคงเหงามากมั้ง มีเพื่อนมาอยู่ด้วยก็คงจะดีเหมือนกัน อีกอย่าง ดูๆแล้วคุณคงไม่ใช่ขโมย" จงฮยอนเอนตัวพิงพนักโซฟา พลางหลับตาลงช้าๆ


"ผมไม่คุ้นแถวนี้เลยนะ ถึงผมขโมยจริงก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้" จงฮยอนยิ้มให้กับคำพูดฉะฉานของมินฮยอน ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ สำหรับคนที่มีเพื่อนน้อยอย่างเขา การเปิดรับเพื่อนใหม่ก็ยังคงเป็นเรื่องยาก แต่เพราะอะไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้ เขาถึงเปิดใจให้ชายตาบอดที่เพิ่งเจอกันได้


คงเพราะถูกชะตาล่ะมั้ง... ก็แปลกดี


"ฝากตัวด้วยนะครับ คุณมินฮยอน"


"ผมต่างหากต้องพูดคำนั้น ฝากตัวด้วยครับ คุณจงฮยอน"







.......................................







นับจากวันนั้นก็ผ่านมาได้อีกห้าปี ไม่น่าเชื่อว่าเขาและชายตาบอดข้างถนนจะสามารถอยู่ด้วยกันได้นานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่า เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นไปด้วย ทั้งสองคนสนิทกันกว่าเมื่อก่อนมากๆ และจงฮยอนก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้ว มินฮยอนนั้นแก่กว่าตัวเองถึงสองปีแถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแคล่วพอๆกับเจ้าของภาษาด้วย


"พี่มินฮยอน อยากออกไปไหนมั้ยครับ" จงฮยอนวางจานข้าวลงบนโต๊ะทั้งของเขาและของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กที่กลายเป็นที่ประจำของอีกคนไปแล้ว


"ไปไหนดีล่ะ วันนี้หยุดเหรอจงฮยอน" มินฮยอนถามพลางอ้าปากรับข้าวจากช้อนในมือเล็ก


"ช่ายยย วันนี้วันหยุดผม"


"ได้หยุดแล้วก็ต้องพักผ่อนสิ พี่ว่าเราอยู่บ้านเถอะ" จงฮยอนพยักหน้า สำหรับเขา ยังไงก็ได้อยู่แล้ว บางที นอนอยู่บ้านแล้วดูหนังหรืออ่านหนังสือสักเล่มก็ไม่เลว


"เอางั้นก็ได้ครับ" เมื่อจงฮยอนป้อนข้าวชายตาบอดจนหมดแล้วก็หันมากินของตัวเองบ้าง การดูแลคนตาบอดของเขาไม่ง่ายนัก เพราะว่ามินฮยอนไม่คุ้นชินกับโครงสร้างของบ้าน บางทีก็เข้าห้องครัวเพราะนึกว่าเป็นห้องนอน ช่วงแรกๆจึงทำให้เขาวุ่นวายพอสมควร ต่อมา เมื่อมินฮยอนชินกับบ้านของเขาแล้ว งานของเขาก็น้อยลงนิดหน่อย มินฮยอนสามารถทำงานเล็กๆน้อยๆได้ อย่างเช่นรับโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งร้องเพลงกล่อมเขาเวลาที่เขาหนาวจนนอนไม่หลับ


"พี่อยากเห็นหน้าเราจัง" จงฮยอนหันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้า แล้วจับมือใหญ่ให้มาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง


"จินตนาการเอานะครับ จับได้ตามสะดวกเลย" พูดเท่านั้น มือใหญ่ของคนเป็นพี่ก็ไล้ไปทั่วใบหน้าเล็ก จงฮยอนเองก็เอาคางเกยตักมินฮยอนไว้ แล้วปล่อยให้มืออุ่นลูบไปลูบมา


"หน้าตาดีนะเรา"


"ฮะๆๆ ผมต้องเขินมั้ยอ่ะ" จงฮยอนที่กำลังเคลิ้มเพราะสัมผัสอุ่นๆบนใบหน้าพูดขึ้น เอาจริงๆ เขาแทบจะหลับคาตักมินฮยอนทีเดียว คนอะไร มือก็อุ่น ตักก็อุ่น เป็นความอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก


"เขินให้หน่อยก็ดีนะ"


"ฮะๆๆ พี่ลูบจนหนังกำพร้าผมจะหลุดอยู่แล้วนะ"


"เว่อร์น่า ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย" ฝ่ามือของมินฮยอนขยี้เข้าที่หัวกลมของคนเด็กกว่าอย่างหมั่นเขี้ยว


"จงฮยอนอ่า" มินฮยอนประคองใบหน้าของคนเป็นน้องอย่างแผ่วเบา จงฮยอนมองดวงตาสีขุ่นอย่างงงๆ ก่อนจะงงหนักเข้าไปอีก เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเบาบางบนริมฝีปาก เบาบาง... แต่อบอุ่น


"ไม่ขอโทษนะ เพราะตั้งใจ" จงฮยอนเบิกตากว้าง ความร้อนไล่ลามขึ้นมาบนใบหน้า มือเล็กแตะอวัยวะที่ถูกฉวยโอกาสอย่างตกใจ พลางมองค้อนคนที่กำลังทำหน้าระรื่น


ถ้ามินฮยอนไม่ได้ตาบอดล่ะก็... เขาอาจจะเห็นว่าจงฮยอนกำลังเขินจนหน้าแดงก่ำ


"พี่นี่นะ..." จงฮยอนตีเข้าที่ตักอุ่นที่เขาเพิ่งซบไปไม่นานดังเพี้ยะ เพื่อลงโทษคนขี้แกล้ง


"โอ๊ยยยย เจ็บนะ" มินฮยอนร้องโอดโอยที่ดูยังไงก็เป็นการแกล้งทำ ทำให้จงฮยอนมอบฝ่ามืออรหันต์ให้อีกหลายที


"มาทำแบบนี้ได้ไง ผมไม่ใช่แฟนพี่นะ"


"ก็จงฮยอนไม่ขอพี่เป็นแฟนสักทีอ่ะ" เขาล่ะอยากจะบ้าตาย เกิดมายี่สิบจะสามสิบแล้วยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แต่กลับโดนบอกว่าให้เป็นฝ่ายขอซะงั้น


"งั้นพี่ก็รอต่อไปเถอะครับ" ถึงยังไงเขาก็ไม่ขอคนตรงเป็นแฟนแน่นอน แปลกนะ ตาก็มองไม่เห็นแต่กลับรู้ตลอดว่าเขาอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือแม้แต่เขากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นคนตาบอดที่แปลกจริงๆ


"พี่อยากเห็นหน้าเราจัง"


"พี่ก็จับไปแล้วไง" จงฮยอนพูด ขืนให้จับอีกรอบล่ะก็ เขาได้โดนจูบจริงๆแน่


"หมายถึงหน้าเราตอนเขินต่างหาก แค่จินตนาการก็น่ารักละอ่ะ" มินฮยอนบีบหมอนในมือพลางบิดตัวไปมา ทำเอาจงฮยอนหลุดขำออกมาจนได้


"ฮ่าๆๆๆ พี่นี่เหมือนสาวน้อยเลยอ่ะ น้องมินนี่~~~~" จงฮยอนลุกไปดึงแก้มนิ่มของคนโตกว่าอย่าสนุกมือ แก้มมินฮยอนนิ่มมาก เผลอๆนิ่มกว่าแก้มเขาอีกมั้ง


"ครับน้องจงงี่~~~~~~~~~" มินฮยอนไม่ยอมแพ้ ปล่อยมือจากหมอน เปลี่ยนมาดึงแก้มนิ่มของคนตัวเล็กกว่าบ้าง


"เยอะไปพี่เยอะไป ฮื่ออ แก้มผมยานหมดแล้ว"


ฟอดด!


"เอาอีกแล้ว!!" บางที เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะคิดผิดที่รับมินฮยอนเข้ามาอยู่ในบ้าน รวมถึงอยู่ในใจด้วย คนอะไร จ้องจะลวนลามเขาอย่างเดียว ที่บอกว่าตาบอดนี่โกหกกันใช่มั้ย


ฟอดด!


"พี่มินฮยอ--" นี่แหละ เขาถึงบอกว่ามินฮยอนคงจะโกหกเรื่องตาบอด เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ มินฮยอนก็สามารถขโมยจูบเขาได้ตลอด แล้วก็อยากจะตีตัวเองให้ตายที่ไปเขินกับรสจูบของชายตาบอด


"น่ารักจังเลยยย"


"จะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าผมไม่ใช่แฟนพี่อ่ะ" ร่างเล็กตีป้าบเข้าให้ที่ไหล่กว้าง


"ขอพี่เป็นแฟนดิ"


"ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากมีแฟนหื่นกาม" จงฮยอนยักไหล่ ทั้งที่รู้ว่าอีกคนคงไม่เห็น


"ใจร้ายอ่ะ เคยได้ยินเรื่องความกลัวของคนตาบอดมั้ย"


"มันคืออะไรครับ" จงฮยอนขมวดคิ้ว ไม่บ่อยนักที่มินฮยอนจะพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับอาการตาบอด


"มันเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจเมื่อเรามองไม่เห็นน่ะ อย่างเช่นว่า.. ข้างหน้าจะมีหลุมมั้ย ข้างหลังจะมีโจรตามมามั้ย หรือแม้แต่ว่าเหนือหัวเรา จะมีอะไรหล่นลงมามั้ย มันจะระแวงไปหมดเลย"


"อืม.. ลำบากแย่เลยนะครับ"


"ก็ใช่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกด้วยนะ กลัวว่าจะดูไม่ดีสำหรับคนรอบข้าง ส่วนใหญ่ คนตาบอดจึงต้องแต่งตัวให้ดูดี"


"...."


"ที่พี่จะบอกก็คือ สำหรับพี่ สิ่งที่พี่กลัวอย่างเดียวก็คือ..."


"คือ...?"


"กลัวจงฮยอนเกลียดพี่"


"....ผมจะเกลียดพี่ทำไมครับ ในเมื่อผมให้พี่ทำแบบนี้.." มือเล็กลูบที่ใบหน้าของคนเป็นพี่เบาๆ


"แบบนี้..." จมูกรั้นฝังลงที่แก้มนิ่ม


"และแบบนี้" จบที่ปากเล็กประทับลงเบาๆบนอวัยวะเดียวกันของมินฮยอน แผ่วเบาและนุ่มนวล ก่อนจะถอนออก


"พี่ไม่ใช่แฟนเรานะ มาทำแบบนี้ได้ไงหืม"


"พี่ก็ขอผมเป็นแฟนดิ" จงฮยอนหัวเราะออกมา เมื่อได้โอกาสเอาคืนคนตาบอดจอมขี้แกล้งได้สำเร็จ


"เล่นแบบนี้เลยเหรอ"


"ฮะๆๆๆ" มินฮยอนยกมือยอมแพ้ ก่อนจะพูดต่อ





"เป็นแฟนพี่นะ"


"ตกลงครับ"




.............................................




สามปีต่อมา มินฮยอนได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายม่านตา เขากลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากที่จมอยู่นความมืดมาตลอดสิบเอ็ดปีเต็ม ตอนที่จงฮยอนได้รู้ว่าการผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดีก็ทำเอาคนตัวเล็กแทบจะวิ่งออกจากบริษัทมายังโรงพยาบาลที่เขารักษาตัวอยู่ทันที


คราวนี้แหละ.. เขาจะได้เห็นสักที ว่าจงฮยอนที่ดูแลเขามาตลอดหน้าจะเป็นยังไง


"พี่มินฮยอน!!" ร่างเล็กวิ่งเข้ามากอดเขาทันที เมื่อกลับมาเห็นว่าเขานั่งรออยู่ที่บ้าน


อ่า.. น่ารักจริงๆด้วยล่ะ


"พี่มองเห็นหน้าเราแล้วนะ จะได้เห็นหน้าเราตอนเขิน ตอนร้องไห้ ตอนยิ้ม ตอนหัวเราะ ทุกๆตอนเลยด้วย" จงฮยอนพยักหน้าหงึกหงัก


"ถ้าไม่ได้จงฮยอนพี่คงแย่เลย"


"ไม่ได้ผมอะไรล่ะ นั่นเงินพี่ทั้งนั้นอ่ะ" ในช่วงสิบเอ็ดปีก่อนได้รับการผ่าตัดม่านตา มินฮยอนก็อาศัยความสามารถด้านภาษา รับจ้างแปลเอกสารต่างๆ โดยใช้แอปอ่านหนังสือแล้วให้จงฮยอนพิมพ์ให้ ด้วยงานนี้ ทำให้มินฮยอนมีเงินเก็บเพียงพอที่จะเข้ารับการผ่าตัด


"ก็ก่อนหน้านี้ไง ขอบคุณนะครับ ทั้งที่เราก็งานยุ่งแท้ๆนะ"


"ผมเองก็อยากให้พี่กลับมามองเห็นไวๆนี่ สิบเอ็ดปีมันนานมั้ยครับ สำหรับพี่"


"จะว่านานมันก็นานนะ แต่จะว่าไวมันก็ไว พี่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเจอจงฮยอนเมื่อวานนี้เอง" มินฮยอนลูบหัวคนเป็นน้องอย่างเบามือ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากมน


"นั่นสินะครับ"


"พี่รักจงฮยอนนะ รักมากๆๆๆ ขอบคุณมากเลยนะ"


"ผมก็เหมือนกันแหละ ขอบคุณมากๆ แล้วก็.."



"รักมากๆนะครับ"

------------------------------

ตอนนี้ ผมไม่ได้ตาบอดอีกต่อไปแล้ว ผมพร้อมจะมองคุณด้วยสายตาและหัวใจ ...ตลอดไป

------------------------------


END.

........................................................................................

รายปักษ์เรื่องแรกเลยอ่ะ ติชมกันดั้ยนะคะ 5555555555555

ว่างๆ โปรโมทนิ้ดดดด เราเป็นเจ้าของเดียวกับ #มินเจแก้บน #ไม่พูดมินเจ แล้วก็ #ทูไพทูพัค นะคะ

ฝากเม้นฝากไลค์ฝากแชร์ฝากแท็กฝากทุกสิ่งเอวี่ติงจิงกาเบล สำหรับเรื่องนี้เราขอสร้างแท็กว่า...

"#ฟิคของเต้าหู้" ค่า จะรวมฟิคสั้นที่ไม่ใช่การแก้บน 5555555555 ฝากด้วยยย

รักมินเจและนิวอีสท์เยอะๆนะคะ รักฟิคเราด้วย 5555

ไปละ บ๊ายบายยย