--------------------
Snow is WHITE but Your eyes are BLACK.
--------------------
เสียงลมหวีดหวิว พายุหิมะโหมกระหน่ำจนพื้นที่ทั้งหมดถูกมองเป็นสีขาวโพลน แม้กระทั่งท้องฟ้าสีมืดที่ถูกเกล็ดหิมะนับล้านๆกระจายตัวอยู่ทั่วจนดูขมุกขมัว ทิวทัศน์เบื้องหน้าและรอบกาย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ นอกจากเกล็ดหิมะสีขุ่นที่ถูกลมพายุหอบมาจากแดนไกล
แต่ในเกลียวพายุที่ดุร้าย กลับมีร่างของชายคนหนึ่งเดินฝ่าความหนาวเย็นเหมือนกับว่าอากาศข้างนอกไม่ได้มีพายุร้าย เป็นเพียงแค่ลมหนาวที่พัดผ่านเท่านั้น
"ต้องหา.. ให้เจอ..." เสียงสุดท้ายที่ออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะล้มฟุบลงไปกลางทุ่งหิมะและเกลียวพายุ
...........................
"ฟื้นแล้วเหรอคุณ" เสียงใครสักคนที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น นักเดินทางหนุ่มหันไปมองตามเสียงก็ได้พบกับร่างเล็กๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ในมือมีแก้วเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนที่แก้วนั้นจะถูกส่งมาให้เขา
"ขอบคุณครับ"
"คุณมาจากไหนเหรอ ทำไมไปนอนอยู่กลางหิมะแบบนั้นล่ะ นี่ถ้าพวกผมไม่ไปเจอเข้าจะเป็นยังไงเนี่ย" เด็กชายทิ้งตัวนั่งข้างฟูกที่เขานอนอยู่ พลางมองสำรวจตั้งแต่เรือนผมสีทองไปจนถึงการแต่งตัวที่ดูประหลาดเหลือเกินในสายตาของเด็กชาย
"ฉัน..เป็นนักเดินทาง"
"เหรอๆๆ เดินทางมาไกลน่าดูเลยสิ ได้เจออะไรบ้างครับ ได้เจอพวกจิ้งจอกรึเปล่า ได้ยินมาว่าน่ากลัวมาก" เด็กน้อยลูบแขนตัวเองเมื่อพูดถึง "พวกจิ้งจอก"
"เจอสิ"
"สุดยอดเลย!! มันมีหลายหางจริงๆเหรอครับ ผมได้ยินมาว่ายิ่งหางเยอะจะยิ่งเก่งนี่" เด็กชายยังคงถามไม่หยุด ยิ่งได้ยินจากปากคนที่เคยเจอผู้ที่มีเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัวแล้ว ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก
"ที่เธอเข้าใจก็ไม่ผิดนักหรอก" นักเดินทางตอบ พลางจิบเครื่องดื่มอุ่นเร็วๆ ก่อนที่มันจะเย็นเสียก่อน
"อ่ออ..."
"คุณ.. เผ่าเต่าหิมะ?" นักเดินทางทักขึ้น
"ร..รู้ได้ยังไงน่ะครับ" เด็กชายสะดุ้ง เขาเคยถูกสอนมาว่า ถ้าถูกคนแปลกหน้าล่วงรู้เผ่าพันธุ์โดยที่ตนไม่ได้บอก สงสัยไว้เลยว่าจะเป็นคนจากเผ่าจิ้งจอก เพราะเผ่านั้นเป็นเผ่าเดียว ที่สามารถได้กลิ่นเลือดเฉพาะเผ่าพันธุ์
"หน้าคุณเหมือนเต่า" แต่คำตอบที่ได้รับมากลับทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว แค่ว่าหน้าเหมือนเต่าแล้วจำเป็นต้องเป็นเต่าหิมะด้วยเหรอ
"อย่าทำหน้าแบบนั้น ถ้าคุณอยู่เผ่าเต่าทะเล คุณคงไม่มาตั้งรกรากในทุ่งหิมะแบบนี้หรอกครับ อีกอย่าง.. สีผมของคุณด้วย" เด็กชายจับผมของตัวเองอย่างนึกขึ้นได้
สีผมของชาวเผ่าเต่าหิมะ จะเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุครบยี่สิบปี แต่ตอนนี้เขายังอายุไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ สีผมของเขาจึงยังเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน
"คุณนี่ช่างสังเกตจัง สมเป็นนักเดินทาง" เด็กชายปรบมือให้ เขาคิดว่าชายคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว เป็นนักเดินทางก็แปลว่าต้องได้ผจญภัย และเรื่องผจญภัยสำหรับเด็กชายวันสิบหกปีก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนุก
"คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังได้มั้ย"
"เรื่องของฉันเหรอ... ฉันไม่อยากจะเล่าเท่าไหร่หรอก แต่ก็ตั้งใจฟังก็แล้วกัน"
"....ฉันเป็นนักเดินทางจากป่าทางใต้ คุณพอจะรู้จักเจ้าหญิงแห่งจันทรามั้ย นั่นเป็นสิ่งที่ฉํนตามหาอยู่ ฉันก็เลยเดินทางมาถึงนี่..."
"ป่าทางใต้... ที่อยู่ของพวกจิ้งจอกนี่!!"
"ก็คงจะอย่างนั้น เอาล่ะ ฉันจะเล่าต่อแล้วนะ อย่าขัดล่ะ..."
..................
.............
........
.......
......
....
..
.
.
.
.
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายพันปี พวกเผ่าจิ้งจอกอยู่ร่วมกับเผ่าอื่นอย่างสงบสุข ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ว่าจะกับชาวเผ่าอื่นหรือเผ่าตัวเอง บ้านเมืองเรียบร้อย มีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะ...
และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เผ่าจิ้งจอกมีความสงบเรียบร้อยก็คือ ผู้ปกครองเผ่า ที่ชาวเผ่าจิ้งจอกต่างเรียกเธอว่า "เจ้าหญิงแห่งจันทรา" เธอเป็นคนที่ฉลาด เฉียบแหลม มีความเป็นผู้นำ มองการณ์ไกลและใจดี เธอจึงเป็นที่รักของชาวเผ่าจิ้งจอกทุกคน
จนวันหนึ่ง... กองทัพของพวกเผ่าหมาป่าได้บุกเข้ามายังพื้นที่ของชาวเผ่าจิ้งจอก เพราะต้องการแย่งชิงพื้นที่และประกาศศักดา เมื่อชาวเผ่าจิ้งจอกรับรู้ถึงภัยสงครามที่กำลังจะมาถึงจึงได้จัดเตรียมกองทัพขึ้น โดยที่เจ้าหญิงแห่งจันทราก็ได้เข้าร่วมรบในครั้งนี้ด้วย
ถึงแม้ชาวเผ่าจะคัดค้าน แต่เธอก็ยังคงดึงดันที่จะร่วมรบให้ได้โดยให้เหตุผลว่า "ในเมื่อเธอเป็นผู้นำของเผ่านี้ เพราะเหตุใดเธอจึงร่วมรบไม่ได้ การเป็นที่รักของชาวเผ่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องรออยู่เฉยๆในขณะที่ชาวเผ่าใต้ปกครองกำลังออกไปเสี่ยงชีวิต" เพราะเหตุผลนี้ ชาวเผ่าจึงยอมให้เธอร่วมรบกับนายทหารเผ่าจิ้งจอกนับร้อย
แต่กองกำลังนับร้อย ก็ไม่อาจสู้พละกำลังและความเจนสนามของอีกเผ่าได้...
สงครามจบลงด้วยการที่เผ่าจิ้งจอกเป็นฝ่ายแพ้ ป่าทางใต้กลายเป็นที่อยู่ของพวกเผ่าหมาป่า ในขณะที่ผู้อาศัยเดิมอย่างเผ่าจิ้งจอกต้องกลายเป็นทาสผู้รับใช้เผ่าหมาป่า มันเป็นแบบนี้อยู่หลายทศวรรศ ยิ่งไปกว่านั้น ความพ่ายแพ้ของเผ่าจิ้งจอกยังมาพร้อมกับการสูญเสียครั้งใหญ่ นั่นก็คือการสูญเสียผู้นำอย่างเจ้าหญิงจันทรา เมื่อเผ่าจิ้งจอกสูญเสียผู้นำไป ก็ทำให้ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ประกอบกับถูกกดขี่เพราะแพ้สงคราม ชาวเผ่าจิ้งจอกส่วนมากจึงอาศัยทักษะประจำเผ่าผันตัวไปเป็นโจรปล้นสะดมและเข่นฆ่าเผ่าอื่น จนได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่น่ากลัวที่สุด
แต่ใช่ว่าเผ่าจิ้งจอกจะกลายเป็นคนไม่ดีทั้งหมด มีการก่อตั้งสมาคมลับขึ้นเพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงจันทรา เพราะเชื่อกันว่าดวงจิตของเธอยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าอยู่ในรูปแบบอื่น พูดง่ายๆว่าเธอเกิดใหม่เป็นคนอื่นนั่นเอง
ไม่มีใครรู้ว่าดวงจิตของเธอจะอยู่ในรูปแบบไหน หรือว่าอยู่ที่ใด เท่าที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงหาเบาะแสจากดวงจันทร์ วันใดที่ดวงจันทร์กลายเป็นสีฟ้าหรือปรากฏการณ์บลูมูน หมายความว่า ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่แล้ว แต่จะอยู่ที่ไหนนั้น ต้องใช้พิธีเสี่ยงทายที่เผ่าจิ้งจอกสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
แต่ประชากรเผ่าจิ้งจอกในตอนนั้นยังคงอ่อนแอ เพราะพิษสงครามเรื้อรัง พวกเขายังคงถูกชาวเผ่าหมาป่าข่มเหงรังแก
จนเมื่อเด็กชายเผ่าจิ้งจอกคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก เขาก็ถูกจับฝึกให้มีทักษะเอาตัวรอดและป้องกันตัวอย่างลับๆ และเมื่อเด็กชายคนนั้นเติบโตขึ้น จึงถึงเวลาปล่อยให้จิ้งจอกเข้าป่า เพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่...
...................
..............
.........
......
....
...
..
.
.
.
.
.
"นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงนอนอยู่กลางหิมะ" นักเดินทางพูดยิ้มๆ พลางวางแก้วลงข้างตัว แล้วหันไปมองเด็กชายที่ดูเหมือนว่าจะแข็งเป็นหินไปหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว
ก็เขานั่นแหละ.. เด็กชายเผ่าจิ้งจอกคนนั้น
"ค...คุณเป็นคนจากเผ่าจิ้ง..อุ๊บ!!" เด็กชายดิ้นขลุกขลักไปมาเพราะนักเดินทางเผ่าจิ้งจอกเอามือมาอุดปากแถมยังล็อกคอเขาไว้เสียแน่น
"ชู่ววว เงียบหน่อยเด็กน้อย ฉันยังไม่อยากถูกไล่ออกไปเผชิญพายุตอนนี้หรอกนะ" เสียงนุ่มของนักเดินทางกระซิบข้างใบหูเล็ก ทั้งข่มขู่ และขอร้อง ...จนเมื่อเด็กชายหยุดดิ้นและแน่ใจแล้วว่าจะไม่ส่งเสียงดัง นักเดินทางจึงปล่อยแขนออก
"ครอบครัวผมต้องรู้เรื่องนี้" เด็กชายกระซิบ
"เธอจะบอกครอบครัวก็ได้ แต่ต้องแน่ใจว่าญาติเธอจะไม่ไล่ฉันออกไปตอนนี้" นักเดินทางกำชับ
"วางใจได้เลย ครอบครัวผมมีเหตุผลพอ" เด็กชายพูดจบพร้อมๆกับเสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น ถ้าให้เดาคงจะเป็นมารดาของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะคนนี้
"แม่ผมเรียกกินข้าวพอดี คุณก็ไปกินด้วยกันสิ เรื่องของคุณเดี๋ยวผมจัดการเอง" เด็กชายขยิบตาให้ นักเดินทางหนุ่มยิ้มออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมและแว่นกันลมบนหัวออกเหลือเพียงชุดเดินทางที่ใส่มาแล้วเดินตามเด็กชายไป...
..........................
"เผ่าจิ้งจอก!!!"
"ครับ เผ่าจิ้งจอก" เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ว่าเมื่อใครก็ตามได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์กำเนิดของเขาแล้ว จะต้องมีอาการตกใจและหวาดกลัว ตอนนี้ก็เช่นกัน สมาชิกครอบครัวของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะกำลังสุมหัวกันซุบซิบอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถได้ยิน ซึ่งเขาและเด็กชายก็ได้แต่นั่งมอง เจ้าเด็กเผ่าเต่าหิมะดูจะมีความสุขเพราะเห็นว่านั่งยิ้มมาตั้งแต่คนอื่นๆเริ่มสุมหัว ผิดกับนักเดินทางที่นั่งหน้านิ่งแต่ในใจก็กลัวว่าจะโดนไล่ออกไปเผชิญพายุ
"เราได้ข้อสรุปแล้วครับ คุณนักเดินทาง" เสียงชายเผ่าเต่าหิมะผู้เป็นบิดาของเด็กชายพูดขึ้น
"...ในเมื่อคุณเดินทางมาไกล เพื่อที่จะตามหาดวงจิตของผู้นำของพวกคุณ เราชาวเผ่าเต่าหิมะก็พร้อมจะช่วยเหลือ เพียงแต่คุณต้องใส่สร้อยข้อมือเส้นนี้ไว้ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่" เต่าหิมะผู้พ่อยื่นสร้อยข้อมือสีเขียวให้นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกพลางอธิบายต่อ
"สร้อยข้อมือเส้นนี้สามารถจับเจตนาร้ายได้ ถ้าคุณพูดโกหกหรือคิดร้ายต่อเรา สร้อยข้อมือเส้นนี้จะส่งคุณไปจนถึงที่ที่คุณจากมา นั่นก็หมายความการที่คุณมาถึงที่นี่ก็จะสูญเปล่า เข้าใจนะ"
"ผมเข้าใจครับ" นักเดินทางรับสร้อยข้อมือสีเขียวมาใส่อย่างรวดเร็ว
"ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีต้อนรับครับ"
...................................
"เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าครอบครัวผมมีเหตุผลพอ" นักเดินทางและเด็กชายต่างเผ่าอยู่ด้วยกันอีกครั้งในห้องใหม่ เป็นห้องนอนแขกที่เต่าหิมะผู้พ่อได้จัดไว้ให้ เสียงลมพายุพัดหวือยังดังให้ได้ยิน เพียงแค่ติดว่าเขาจะต้องออกไปเดินท่ามกลางพายุอีกเขาก็รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เป็นธรรมชาติที่เผ่าจิ้งจอกจะไม่พิสมัยกับอากาศเย็นและหิมะ ยิ่งพายุหิมะยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ก็ดีมากแค่ไหน
"ขอบใจมาก" นักเดินทางมองดูสร้อยข้อมือสีเขียวที่เพิ่งได้รับมาอย่างสนอกสนใจ
"จะว่าไป.. ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนะ"
"เรียกฉันว่ามินฮยอนก็ได้" นักเดินทางพูด
"ผมชื่อจงฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เด็กชายพูดตอบ
"...ในเมื่อคุณเดินทางมาไกล เพื่อที่จะตามหาดวงจิตของผู้นำของพวกคุณ เราชาวเผ่าเต่าหิมะก็พร้อมจะช่วยเหลือ เพียงแต่คุณต้องใส่สร้อยข้อมือเส้นนี้ไว้ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่" เต่าหิมะผู้พ่อยื่นสร้อยข้อมือสีเขียวให้นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกพลางอธิบายต่อ
"สร้อยข้อมือเส้นนี้สามารถจับเจตนาร้ายได้ ถ้าคุณพูดโกหกหรือคิดร้ายต่อเรา สร้อยข้อมือเส้นนี้จะส่งคุณไปจนถึงที่ที่คุณจากมา นั่นก็หมายความการที่คุณมาถึงที่นี่ก็จะสูญเปล่า เข้าใจนะ"
"ผมเข้าใจครับ" นักเดินทางรับสร้อยข้อมือสีเขียวมาใส่อย่างรวดเร็ว
"ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีต้อนรับครับ"
...................................
"เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าครอบครัวผมมีเหตุผลพอ" นักเดินทางและเด็กชายต่างเผ่าอยู่ด้วยกันอีกครั้งในห้องใหม่ เป็นห้องนอนแขกที่เต่าหิมะผู้พ่อได้จัดไว้ให้ เสียงลมพายุพัดหวือยังดังให้ได้ยิน เพียงแค่ติดว่าเขาจะต้องออกไปเดินท่ามกลางพายุอีกเขาก็รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เป็นธรรมชาติที่เผ่าจิ้งจอกจะไม่พิสมัยกับอากาศเย็นและหิมะ ยิ่งพายุหิมะยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ก็ดีมากแค่ไหน
"ขอบใจมาก" นักเดินทางมองดูสร้อยข้อมือสีเขียวที่เพิ่งได้รับมาอย่างสนอกสนใจ
"จะว่าไป.. ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนะ"
"เรียกฉันว่ามินฮยอนก็ได้" นักเดินทางพูด
"ผมชื่อจงฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เด็กชายพูดตอบ
"อายุเท่าไหร่"
"ปีนี้สิบหกครับ" นักเดินทางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว นับตั้งแต่ปรากฏการณ์บลูมูนและพิธีเสี่ยงทายเกิดขึ้น ก็ล่วงเลยมาสิบหกปีแล้ว ถ้าเด็กคนนี้เป็นดวงจิตแห่งเจ้าหญิงแห่งจันทรา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
"เธอไปนอนได้แล้ว ฉันก็จะนอนเหมือนกัน"
"งั้น... ราตรีสวัสดิ์ครับ" เขาอยากตรวจสอบ แต่ก็ต้องพับเก็บไปก่อนเพราะเขาไม่เหลือพลังให้ทำอะไรต่อได้อีก แค่เดินทางก็เหนื่อยมากแล้ว และมินฮยอนคิดว่าเขาควรจะพักบ้าง และเขาเชื่อว่าการได้เจอพวกเต่าหิมะจะต้องเป็นชะตาบางอย่าง
เขาคิดว่าเขาคงต้องผูกมิตรกับคนพวกนี้เอาไว้... จนเมื่อเวลาที่สมควรมาถึง เขาจะเริ่มทดสอบว่าเด็กคนนี้ใช่ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราหรือไม่
จนกระทั่งวันหนึ่ง...
"คุณมินฮยอน ช่วยแสดงหางของคุณให้ดูได้มั้ยครับ" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ทันใดนั้นเอง หูและหางสีขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกก็แผ่ออกมาจากร่างของนักเดินทางพร้อมๆกับคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเจ้าของหางนั้นด้วย
เขาไม่คิดว่าโอกาสจะมาถึง การทดสอบว่าใครคือดวงจิตแห่งเจ้าหญิงจันทราคือ..การแสดงตัวตนแห่งเผ่าจิ้งจอก และหลังจากที่มินฮยอนปรับคลื่นพลังในร่างได้ เขาก็หันมองเด็กชายที่กำลังนิ่งค้าง... นิ่งพอๆกับตอนที่รู้ว่าเขามาจากเผ่าจิ้งจอก
จงฮยอนจะไม่ตกใจเลยสักนิด ถ้าจำนวนหางของมินฮยอนไม่ใช่เก้า ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดที่เผ่าจิ้งจอกสามารถมีได้ แสดงว่าระดับพลังของมินฮยอนนั้น สามารถทำให้หมูบ้านของเขาหายไปได้เพียงกระดิกนิ้วหรือกระทืบเท้าเบาๆ
"จิ้งจอกเก้าหางตัวเป็นๆ..." เด็กชายเผ่าเต่าหิมะถึงกับล้มฟุบไปในทันทีที่เห็นร่างครึ่งจิ้งจอกของนักเดินทาง ...มินฮยอนถอนหายใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าการทดสอบคงไม่ได้ผล ก่อนจะเก็บหูและหางเข้าไปเหมือนเดิมแล้วอุ้มร่างเด็กชายกลับไปไว้ที่ห้องนอน
..................................
แสงแดดที่ให้ความร้อนเพียงน้อยนิดปลุกผู้คนให้ตื่นจากการหลับไหล มินฮยอนและครอบครัวเต่าหิมะเองก็เช่นกัน นักเดินทางเก็บสัมภาระของเขาใส่กระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวเดินทางต่อ
"นั่นเธอจะไปไหน" เสียงคุ้นหูของเด็กชายเผ่าเต่าหิมะดังขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้เสียงนั้นดูอบอุ่นและใจดีกว่าที่เคย
"ฉันจะ..." เหมือนเสียงถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เด็กชายเผ่าเต่าหิมะที่ดวงตาเคยเป็นสีดำสดใส กลายเป็นสีฟ้าสด
การทดสอบได้ผล เด็กคนนี้... ดวงจิตแห่งเจ้าหญิงจันทรา
"เธอ..." มินฮยอนโค้งตัวคำนับเด็กชายที่ตอนนี้กลายเป็นใครอีกคน
"เธอคือคนของเผ่าจิ้งจอกนี่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ" เด็กชายยิ้มอย่างใจดี นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองนักเดินทางอย่างสงสัย
"ผมมาตามหาดวงจิตแห่งท่าน ตอนนี้เผ่าของเรากลายเป็นโจรกันไปหมดเพราะพวกหมาป่า" มินฮยอนตอบ
เขากำลังดีใจ เพราะเขาตามหาสิ่งที่ต้องการเจอในที่สุด ดวงจิตของเจ้าหญิงจันทรากำลังคุยกับเขา และสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือ การพาดวงจิตกลับไปยังเผ่าของเขา และปลดปล่อยชาวเผ่าให้พ้นจากอำนาจของพวกเผ่าหมาป่า
"อย่างนั้น... เราควรทำยังไงดีล่ะ" เด็กชายขมวดคิ้ว
"ท่าน... จะกลับไปกับผมได้หรือไม่"
"ได้สิ" มินฮยอนกำลังจะยิ้ม แต่กลับชะงักลง เพราะร่างของดวงจิตแห่งเจ้าหญิงนั้นยังเป็นเด็กผู้ชายต่างเผ่า ที่ไม่เกี่ยวกับการสูญเสียหรือสงคราม ถ้าจะพาไปด้วยทั้งแบบนี้ล่ะก็...
"คุณพาเขาไปเถอะค่ะ เรารู้อยู่แล้ว" เสียงมารดาของจงฮยอนพูดขึ้น
"เด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ได้หมายถึงว่าที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเพราะดวงจิตของจงฮยอนมีสองดวง คุณเข้าใจใช่มั้ย" ...อีกดวงหนึ่งเป็นของเจ้าหญิงแห่งจันทรา ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด
"แต่.. ดวงจิตสองดวงนี้ผูกพันกัน ถ้าดวงหนึ่งไม่อยู่ อีกดวงก็จะ..."
"แล้วคุณมาบอกให้ผมพาเขาไปได้เลย!?! แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคุณสิ นั่นลูกคุณนะ" มินฮยอนเถียง
"เราทำใจไว้แล้ว คุณพาเขาไป--"
"ผม.. ต้องตายจริงๆเหรอครับ" มินฮยอนหันกลับมามองใบหน้าของเด็กชายอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาเปลี่ยนกลับเป็นสีดำตามเดิม
เด็กคนนี้คือจงฮยอน... เด็กชายเผ่าเต่าหิมะ
"ผมต้องตายจริงๆเหรอ แล้ว แล้ว...ถ้าผมตาย เผ่าคุณจะรอดแน่ๆใช่มั้ย" จงฮยอนเดินมาเขย่าเสื้อคลุมของนักเดินทาง
"ถ้าให้บอกตามตรง...ฉันก็ไม่แน่ใจ" มินฮยอนส่ายหน้า เพราะจริงๆแล้ว ในใจของเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่า ถ้าได้ดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทรากลับคืนไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อ
"แต่ฉันคิดว่ามันคงจะมีทางออกให้ทั้งเผ่าฉัน และเธอได้"
"พ่อ.. แม่.." เด็กชายวิ่งเข้าไปกอดทั้งเต่าหิมะผู้พ่อและแม่ ก่อนจะพูดกับพวกท่าน
"ถ้าผมไม่อยู่แล้ว.. ดูแลตัวเอง.. ดีๆนะ" เด็กน้อยกลั้นสะอื้น พลางยิ้มให้ ก่อนจะผละออกแล้วเดินไปหามินฮยอน
"โอเค ผมพร้อมแล้ว"
"เธอแน่ใจนะ"
"ครับ" สิ้นเสียง มินฮยอนก็คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ ก่อนที่เด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะจะฟุบลงไปอีกครั้ง แล้วตื่นขึ้นมาใหม่พร้อมนัยน์ตาสีฟ้า
ครั้งแรกที่ได้เห็นร่างจริงของเขาก็คงจะไปปลดล็อกดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราแน่ๆ ถึงได้สลบฟุบไปทั้งแบบนั้น และเพราะเป็นครั้งแรก ร่างกายจึงไม่ชินและทำให้ไม่ตื่นจนถึงรุ่งเช้า
"ลาก่อน ...และขอบคุณ" เจ้าหญิงจันทราในร่างจงฮยอนเอ่ย
"เราเข้าใจ ไปเถอะ อย่าให้การตายของจงฮยอนเสียเปล่า" เต่าหิมะผู้พ่อบอกลา เจ้าหญิงในร่างเด็กผู้ชายจึงสั่งให้มินฮยอนออกจากบ้านไป
...กลับไปยังป่าทางใต้ บ้านเกิดที่แท้จริงของเจ้าหญิงแห่งจันทรา...
.............................
"อยู่ไหนกันนะ..." เด็กชายเอ่ยขึ้น นัยน์ตายังคงเป็นสีฟ้าสด ในขณะที่มินฮยอนกำลังวิ่งกลับหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นของพวกหมาป่า
สถาพแวดล้อมดีกว่าแต่ก่อนมากก็จริง อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นแดนของศัตรู
"ถึงแล้วครับ" มินฮยอนคืนร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ที่เขาใช้ฝึกเมื่อยังเป็นเด็ก
"เราเข้าไปกันเถอะ" เด็ยชายพูด ก่อนจะเดินเข้าไปในฐานลับนั้น
ใช้เวลาไม่นาน ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงด้านในสุดของฐาน เหล่าชาวเผ่าจิ้งจอกต่างพากันสงสัยว่าใครกันที่กลับมาพร้อมกับนักเดินทาง จนเมื่อมินฮยอนแนะนำว่าเด็กชายคือผู้มีดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทรา ชาวเผ่าจึงส่งเสียงเฮลั่น และพากันจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น
ทั้งหมดถูกจัดขึ้นอย่างลับๆ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พวกหมาป่ารู้ว่าพวกเผ่าจิ้งจอกที่ควรจะกลายเป็นทาสได้มีงานเลี้ยง
"ได้ดวงจิตมาแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อ" มินฮยอนถามขึ้น
"ไม่หรอก เราต้องแยกดวงจิตของเจ้าหญิงจากเด็กคนนั้นก่อน" ผู้เฒ่าจิ้งจอก ผู้อาวุโสประจำหมูบ้านกล่าวขึ้น
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เราต้องฆ่าเด็กคนนั้น ฝากจัดการด้วยนะมินฮยอน"
.................................
เขากำลังคิดไม่ตก ถึงแม้จะรู้ว่าจงฮยอนจะต้องตายอยู่ดีเขาก็ยังลังเล เขาไม่อยากทำลายชีวิตคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเหตุผลที่ต้องทำลายจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ที่สำคัญ... เขาไม่อยากทำร้ายจงฮยอน ไม่อยากเลยสักนิด
"คิดอะไรอยู่เหรอครับ" จงฮยอนที่กลับมาเป็นเด็กชายเผ่าเต่าหิมะถามขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทที่มีประกายเหมือนบรรจุดวงดาวนับพันไว้ข้างในจ้องมองเขาอยู่
"เขาบอกให้ฉันฆ่าเธอ ทำยังไงดีล่ะ" มินฮยอนนั่งลงบนพื้นหญ้า จ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหนาปกคลุมและฝนคงจะตกในอีกไม่ช้า
"งั้นเหรอครับ..." เด็กชายนั่งลงข้างๆ ใบหน้าไม่ได้มีความเศร้าหมองแต่อย่างใด
"ฉันไม่อยากฆ่านาย อย่างน้อยๆก็ไม่อยากเป็นคนลงดาบ" มินฮยอนกำลังสับสน.. เด็กชายรู้ แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
"มันไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ"
"อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับคุณ บางที หลับหูหลับตาฆ่าผมไปซะ อาจจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้น" จงฮยอนพูด ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวตาย เขาเองก็มีความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่เขาแค่คิด... คิดว่าถ้าเขาตายเพียงคนเดียว แลกกับการที่ชาวเผ่าจิ้งจอกจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง มันก็คุ้มค่าที่จะตาย
"เธอพูดเหมือนเธออยากตายงั้นแหละ"
"ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากตายหรอก" จงฮยอนทำแก้มป่อง พลางนึกโกรธคนกำหนดชะตาของเขา นี่ถ้าวิญญาณของเขาได้ไปเจอคนคนนั้นนะ พ่อจะด่าจนกว่าจะเกิดใหม่เลยคอยดู
"งั้นก็อย่าพูดแบบนี้อีก ถ้ายังไม่อยากตาย"
"ก็ผมเลือกไม่ได้จริงๆนี่!! เฮ้!!!" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะตะโกนไล่หลังนักเดินทางเผ่าจิ้งจอกที่หันหลังเดินกลับที่พักไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมานั่งมองท้องฟ้าที่มืดหม่น หลังจากที่มินฮยอนเดินลับสายตาไป
"นี่ พี่สาวที่อยู่ในร่างผมน่ะ คุณเป็นเจ้าหญิงเหรอ"
..................................
พิธีแยกดวงจิตเกิดขึ้นอย่างลับๆ ภายในฐานลับของเผ่าจิ้งจอก แท่นพิธีคือก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกเขียนวงเวทไว้จนทั่วและเสาไม้ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง จงฮยอนถูกจับมัดไว้กับเสาต้นนั้นโดยมีมินฮยอนมองอยู่ตลอด แต่เด็กชายก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าหวาดกลัวอะไร ซ้ำยังยิ้มให้มินฮยอนอีกต่างหาก
เด็กคนนี้ช่างเข้มแข็ง.. ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังยิ้มได้อยู่อีก
จนเมื่อพิธีเริ่มขึ้น มินฮยอนก้าวขึ้นไปบนแท่นหิน ในมือถือดาบเหล็กที่ถูกลับอย่างดีจนคมกริบ พร้อมที่จะฟันอะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมายให้ขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย
"เธอ... แน่ใจแล้วจริงๆเหรอ"
"จะฟันก็ฟันมาน่า อย่าลีลาเลยครับ"
ยังจะทำเป็นเล่น.. ทั้งๆที่น้ำตาไหลอยู่นั่นเนี่ยนะ เขาไม่เข้าใจจริงๆ
"หลับตาลงซะ ถือว่าขอร้องนะ" มินฮยอนพูดเสียงสั่นอย่างพยายามอดทน เมื่อเห็นว่าจงฮยอนหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกจึงเงื้อดาบขึ้น...
ฉับ!!
..................................
.........................
...............
..........
.......
....
..
.
.
.
"จับตัวมันไว้!!!!!" เสียงผู้อาวุโสเผ่าจิ้งจอกดังขึ้น ทันทีที่มินฮยอนตัดเชือกที่พันธนาการร่างจงฮยอนจนขาดกระจาย ในขณะที่ทุกคนกำลังงงในสิ่งที่เกิดขึ้น มินฮยอนก็แปลงเป็นจิ้งจอก ก่อนจะพาจงฮยอนที่งงไม่แพ้กันหนีจากลานพิธีทันที
"ทำอะไรของคุณน่ะ!!! แล้วพิธี..."
"อย่าพูดมาก!! ตอนนี้ต้องหนีก่อน" พูดจบ มินฮยอนก็เร่งฝีเท้าเข้ามาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ในป่าลึก ซึ่งลึกเกินกว่าเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกจะสามารถบุกรุกได้
สถานที่ในตำนาน... พระราชวังของเจ้าหญิงแห่งจันทรา
"ที่นี่มัน... บ้านของเรานี่" เมื่อนัยน์ตาของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอีกครั้ง เจ้าหญิงแห่งจันทราเดินเข้าไปในปราสาทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาหามินฮยอนอีกครั้ง
"ขอบใจที่พาเรามาที่นี่นะ นึกว่าจะต้องตายจริงๆซะแล้ว" เด็กชายถอนหายใจออกมา
"ผมไม่เข้าใจ.. ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่ต้องฆ่าล่ะ"
"เรารู้ความเป็นไปของเผ่าตลอด และรู้ด้วยว่าท่านผู้อาวุโสนั่นต้องการดวงจิตของเราไปผสานกับศาตราวุธ แล้วเขาจะขึ้นครองอำนาจและกวาดล้างพวกหมาป่า" เจ้าหญิงค่อยๆอธิบาย
"แต่นั่นมันก็ดีแล้วนี่ครับ"
"นั่นมันนานมาแล้วนะ ตอนนี้พวกหมาป่าและจิ้งจอกได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว มีแต่พวกผู้อาวุโสนั่นแหละ ที่ยังคิดอยากจะเป็นใหญ่่เหนือพวกหมาป่า เธอไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมเธอถึงเข้าเขตป่ามาได้โดยไม่ถูกตามล่าน่ะ"
"จริงด้วย.." มินฮยอนนึกได้ ว่าตลอดระยะทางที่เขาวิ่งเข้าป่ามานั้น ไม่มีพวกหมาป่าวิ่งตามเขาเลย ทั้งๆที่พละกำลังและความเร็วระหว่างหมาป่าและจิ้งจอกก็ไม่ได้ต่างกันมาก เผลอๆ หมาป่าอาจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ
"เป็นนักเดินทางก็ต้องช่างสังเกตหน่อยสิ" เจ้าหญิงว่ายิ้มๆ
"แต่ท่านก็ต้องอยู่ในร่างนี้ตลอดไปเหรอ แม่ของจงฮยอนบอกว่าดวงจิตของท่านกับจงฮยอนผูกพันกันนี่"
"ก็ใช่ จริงๆ มันมีวิธีแยกดวงจิตอยู่นะ แต่ก็นะ ไม่มีดวงจิตให้แยกบ่อยๆ พิธีนี้ก็เลยเลือนหายไปตามกาลเวลา ผู้คนก็เลยคิดว่าต้องทำให้ดวงจิตต้นตายไป ดวงจิตรองจึงจะได้รับการปลดปล่อย" เจ้าหญิงจันทราพูด พริบตาเดียว ก็มีหนังสือเล่มโตมาอยู่ในมือ
หนังสือเล่มนั้นดูจะใหญ่กว่าศีรษะของเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะเสียอีก
"อ่า เจอแล้ว มินฮยอน ฝากด้วยนะ" ตำราเล่มโตลอยมาทางนักเดินทาง มินฮยอนเริ่มต้นอ่านตำราอย่างตั้งใจ เจ้าหญิงแห่งจันทราเอง เมื่อเห็นว่ามินฮยอนกำลังตั้งใจอ่านตำรา จึงค่อยๆหายไป เด็กชายเผ่าเต่าหิมะคนเดิมกลับมาอีกครั้ง..
"คุณมินฮยอน... ผมไม่เข้าใจ" ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะต้องตาย กลับรอดมาได้เสียอย่างนั้น
"ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" มินฮยอนพูดโดยไม่มองหน้า
"แล้วผม... ยังต้องตายอยู่มั้ยครับ"
"คงไม่ต้องแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ฉันไม่รู้ในระหว่างที่ฉันออกไปจากป่านี่หลายเรื่องเลยด้วย"
"...."
"แต่ตอนนี้ต้องปล่อยดวงจิตของเจ้าหญิงในตัวเธอก่อน"
"...เอ๋"
.......................................
ภายหลัง มินฮยอนได้รู้ว่า ระหว่างที่เขากำลังฝึกฝนตัวเองเพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงอยู่นั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมาป่าได้ตกลงทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกัน แต่มินฮยอนที่ถูกพูดกรอกหูทุกวันๆว่าพวกหมาป่าไม่ดีอย่างนั้น เลวอย่างนี้ จึงทำให้คิดว่าหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งเมื่อถูกให้ฝึกแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนผู้ฝึกก็ไม่ใช่โคร ก็ผู้อาวุโสนั่นแหละ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้เขาแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้
จนได้เจอจงฮยอนนั่นแหละนะ
"ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย" มินฮยอนเอ่ยขึ้น เมื่อเขาพาจงฮยอนที่ยังคงมีดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราในร่างกายกลับเข้ามายังหมูบ้านอีกครั้ง และเจ้าหญิงก็ได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งสั่งให้ลงโทษผู้อาวุโสและผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว
"ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าผมยังไม่ตาย ผมยังไม่ตาย!! ฮ่าๆๆๆ" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะกระโดดกอดนักเดินทาง ก่อนจะได้สติและผละออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่วนนักเดินทางเองก็เหมือนว่าจะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงที่หูมากเป็นพิเศษ
"ทุกคนได้ยินกันแล้วนะครับ ทีนี้ ผมอยากให้ทุกคนร่วมมือกับผม"
.
.
.
พิธีแยกดวงจิตสำเร็จไปได้ด้วยดี ดวงจิตของเจ้าหญิงได้รับการปลดปล่อย ทั้งชาวเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกต่างพากันยกย่องให้มินฮยอนขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายจิ้งจอกคู่กับผู้นำฝ่ายหมาป่าไล ควานลิน ส่วนผู้อาวุโสจอมหลอกลวงและผู้สมรู้ร่วมคิดก็ถูกลงโทษไปตามระเบียบ
บทลงโทษของเขาไม่ได้รุนแรงอะไรมากนักหรอก เพราะเขายังนับถือผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพ เขาจึงแค่เนรเทศออกนอกป่าเท่านั้น ...อย่างน้อยๆก็ดีกว่าประหาร เขาไม่อยากจะฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น
"แบบนี้.. มันดีแล้วเหรอครับ" ยู ซอนโฮ องครักษ์ของผู้นำฝ่ายหมาป่า ควบตำแหน่งภริยาของควานลินถามขึ้น
"ผมว่าแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว" มินฮยอนตอบ พลางเหลือบไปมองเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะ
"อะแฮ่ม!! ถึงที่นี่จะไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่การพรากผู้เยาว์ก็มีความผิดนะครับ" ผู้นำฝ่ายหมาป่าพูดขึ้นบ้าง
"ภริยาคุณนี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ" มินฮยอนหันไปมองควานลิน ก่อนที่ทั้งสองจะส่งเสียงแง่งๆใส่กัน สร้างความตลกขบขันแก่ชาวเผ่าจิ้งจอกและหมาป่าที่มาร่วมพิธีแต่งตั้งผู้นำฝ่ายจิ้งจอก
"จงฮยอนๆ เราว่าเราไปทางนู้นกันเถอะ เราหิวแล้ว" ซอนโฮเดินมาดึงแขนจงฮยอนให้อยู่ห่างๆจากผู้ใหญ่ใจบาปทั้งสอง
"อ่า.. โอเค ไปก็ไป" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะพยักหน้าหงึกหงัก พลางเดินตามแรงดึงไป
บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีใครต้องเสียชีวิต คนผิดโดนลงโทษ... แบบนี้แหละ ดีแล้ว
END.....
เหรอออออออออออออออออออออออออออออออ
.................................................
สองปีผ่านไป...
"แม่!!! พ่อ!!!! ผมกลับมาแล้วววววววววววววววววว!!!!!!!!"
"ใครมาตะโกนลั่น--จงฮยอน!!!" มินฮยอนมองสามพ่อแม่ลูกกำลังกอดกันอยู่หน้าบ้าน คือลืมไปหรือเปล่าว่าเขาไม่ชอบอากาศเย็น ถ้าปล่อยเขาไว้ข้างนอกนานๆเขาคงจะต้องแข็งตายแน่ๆ
ใช่สิ เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษอย่างเต่าหิมะนี่
"ลูกยังมีชีวิต ขอบคุณพระเจ้า แต่ทำไม..."
"ไว้ค่อยเล่านะพ่อ ตอนนี้ให้คุณมินฮยอนเข้าบ้านก่อนเถอะ ก่อนที่เขาจะแข็งตาย" ขอบคุณจงฮยอนที่ยังไม่ลืมว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้นะ
.
.
.
"แบบนี้นี่เอง... " เต่าหิมะผู้พ่อพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ
"เหมือนลูกยังเล่าไม่หมดนะจงฮยอน ปิดอะไรอยู่รึเปล่า" แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่ สามารถจับผิดลูกได้ตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
คุณไม่สามารถโกหกคนเป็นแม่ได้พอๆกับการโกหกตัวเอง ...จริงๆนะ
"แม่... คือว่า" จงฮยอนอ้ำอึ้ง พลางมองมินฮยอนสลับกับหน้าคนเป็นแม่
"เข้าใจแล้ว--"
"ห้ะ??"
"เอาไปเลยคุณนักเดินทาง แม่ยกให้" ผู้ชายในบ้านทั้งสองคนได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก แม่ของเขาพูดเรื่องอะไรอยู่กันนะ
"จะเอาอะไรให้เขาอ่ะคุณ" เต่าหิมะผู้พ่อถาม
"เอ้า ก็คุณนักเดินทางเนี่ย ถ้าฉันเดาไม่ผิด คุณชอบลูกชายแม่ใช่มั้ย"
ความจริงอีกข้อคือ... แม่น่ะ เซนส์แรงมากๆๆ
"เอาเป็นว่าแม่รับรู้ ยกให้ไปเลย" มินฮยอนยิ้มกว้าง ที่เขาพาจงฮยอนกลับบ้านมาก็เพราะว่าจะมาคุยเรื่องนี้กันด้วยนั่นแหละ
"พูดถึงอะไรกันอยู่เนี่ย..." จงฮยอนผู้ซึ่งไม่เคยทันเหตุการณ์อะไรกับใครเขาได้แต่นั่งงง เขาอยากจะพูดแทรกแม่เหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ
ตอนตกลงกันทีแรกยังไม่มีเรื่องนี้ด้วยเลยนี่ มินฮยอนนี่เจ้าเล่ห์ชะมัด
"คือที่ผมจะบอกแม่ก็คือ ต่อจากนี้ผมคงจะต้องไปอยู่ที่นู่นอ่ะ"
"ไม่ทันแต่งก็จะหนีตามผู้ชายไปแล้วลูกฉัน"
"ไม่ใช่ดิแม่ ผมเป็นถึงที่ปรึกษาของผู้นำฝ่ายจิ้งจอกเลยนะ ลูกแม่โตจนมีงานทำแล้ว"
"จ้าาา โตก็โตจ้า"
"ลูกจะแต่งงานแล้วเหรอจงฮยอน" เต่าหิมะผู้พ่อหันไปถามลูกชายบ้าง
"นี่ก็ไม่ทันอะไรเขาสักที เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก" เต่าหิมะผู้เป็นแม่ตีป้าบเข้าที่ไหล่สามี พลางปรายตามองลูกชายที่นั่งทำหน้างงไม่แพ้กัน
"ช่างพวกเขาเถอะ คุณนักเดินทาง"
"เรียกผมว่ามินฮยอนเฉยๆเถอะครับ"
"โอเค คุณมินฮยอนเฉยๆ ล้อเล่นจ้ะ มินฮยอน เธอรักลูกชายฉันจริงๆเหรอ"
"สาบานด้วยตำแหน่งผู้นำฝ่ายจิ้งจอกครับ" ได้ฟังดังนั้น เต่าหิมะผู้เป็นแม่ก็ยิ้มออก ก่อนจะปรับท่าทางให้ดูป็นทางการมากขึ้น
"อยู่ที่นู่นก็ฝากเจ้าจงฮยอนมันด้วยนะ ขอบคุณที่เขายังมีชีวิต"
"จริงๆคุณมาอยู่กับเราได้นะครับ"
"ไม่ล่ะ จิ้งจอกไม่ชอบอากาศเย็น พวกเราเต่าหิมะก็ไม่ชอบอากาศร้อนเหมือนกัน อีกอย่างคุณคนนี้เขาต้องดูแลหมู่บ้านด้วยน่ะ ถ้าไม่อยู่นี่แย่เลย" มินฮยอนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ สักพักทั้งเต่าหิมะผู้พ่อและแม่ก็แยกย้ายกันไปทำงาน
"ร้ายนะคุณ"
"แบบนี้แหละ ดีแล้ว"
ใช่.. แบบนี้แหละ ดีแล้ว
-----------------------------
END (จริงๆละ)
-----------------------------
"ฉันไม่อยากฆ่านาย อย่างน้อยๆก็ไม่อยากเป็นคนลงดาบ" มินฮยอนกำลังสับสน.. เด็กชายรู้ แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
"มันไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ"
"อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับคุณ บางที หลับหูหลับตาฆ่าผมไปซะ อาจจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้น" จงฮยอนพูด ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวตาย เขาเองก็มีความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่เขาแค่คิด... คิดว่าถ้าเขาตายเพียงคนเดียว แลกกับการที่ชาวเผ่าจิ้งจอกจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง มันก็คุ้มค่าที่จะตาย
"เธอพูดเหมือนเธออยากตายงั้นแหละ"
"ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากตายหรอก" จงฮยอนทำแก้มป่อง พลางนึกโกรธคนกำหนดชะตาของเขา นี่ถ้าวิญญาณของเขาได้ไปเจอคนคนนั้นนะ พ่อจะด่าจนกว่าจะเกิดใหม่เลยคอยดู
"งั้นก็อย่าพูดแบบนี้อีก ถ้ายังไม่อยากตาย"
"ก็ผมเลือกไม่ได้จริงๆนี่!! เฮ้!!!" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะตะโกนไล่หลังนักเดินทางเผ่าจิ้งจอกที่หันหลังเดินกลับที่พักไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมานั่งมองท้องฟ้าที่มืดหม่น หลังจากที่มินฮยอนเดินลับสายตาไป
"นี่ พี่สาวที่อยู่ในร่างผมน่ะ คุณเป็นเจ้าหญิงเหรอ"
..................................
พิธีแยกดวงจิตเกิดขึ้นอย่างลับๆ ภายในฐานลับของเผ่าจิ้งจอก แท่นพิธีคือก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกเขียนวงเวทไว้จนทั่วและเสาไม้ที่ตั้งอยู่ด้านหลัง จงฮยอนถูกจับมัดไว้กับเสาต้นนั้นโดยมีมินฮยอนมองอยู่ตลอด แต่เด็กชายก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าหวาดกลัวอะไร ซ้ำยังยิ้มให้มินฮยอนอีกต่างหาก
เด็กคนนี้ช่างเข้มแข็ง.. ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังยิ้มได้อยู่อีก
จนเมื่อพิธีเริ่มขึ้น มินฮยอนก้าวขึ้นไปบนแท่นหิน ในมือถือดาบเหล็กที่ถูกลับอย่างดีจนคมกริบ พร้อมที่จะฟันอะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมายให้ขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย
"เธอ... แน่ใจแล้วจริงๆเหรอ"
"จะฟันก็ฟันมาน่า อย่าลีลาเลยครับ"
ยังจะทำเป็นเล่น.. ทั้งๆที่น้ำตาไหลอยู่นั่นเนี่ยนะ เขาไม่เข้าใจจริงๆ
"หลับตาลงซะ ถือว่าขอร้องนะ" มินฮยอนพูดเสียงสั่นอย่างพยายามอดทน เมื่อเห็นว่าจงฮยอนหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว นักเดินทางเผ่าจิ้งจอกจึงเงื้อดาบขึ้น...
ฉับ!!
..................................
.........................
...............
..........
.......
....
..
.
.
.
"จับตัวมันไว้!!!!!" เสียงผู้อาวุโสเผ่าจิ้งจอกดังขึ้น ทันทีที่มินฮยอนตัดเชือกที่พันธนาการร่างจงฮยอนจนขาดกระจาย ในขณะที่ทุกคนกำลังงงในสิ่งที่เกิดขึ้น มินฮยอนก็แปลงเป็นจิ้งจอก ก่อนจะพาจงฮยอนที่งงไม่แพ้กันหนีจากลานพิธีทันที
"ทำอะไรของคุณน่ะ!!! แล้วพิธี..."
"อย่าพูดมาก!! ตอนนี้ต้องหนีก่อน" พูดจบ มินฮยอนก็เร่งฝีเท้าเข้ามาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ในป่าลึก ซึ่งลึกเกินกว่าเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกจะสามารถบุกรุกได้
สถานที่ในตำนาน... พระราชวังของเจ้าหญิงแห่งจันทรา
"ที่นี่มัน... บ้านของเรานี่" เมื่อนัยน์ตาของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอีกครั้ง เจ้าหญิงแห่งจันทราเดินเข้าไปในปราสาทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาหามินฮยอนอีกครั้ง
"ขอบใจที่พาเรามาที่นี่นะ นึกว่าจะต้องตายจริงๆซะแล้ว" เด็กชายถอนหายใจออกมา
"ผมไม่เข้าใจ.. ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่ต้องฆ่าล่ะ"
"เรารู้ความเป็นไปของเผ่าตลอด และรู้ด้วยว่าท่านผู้อาวุโสนั่นต้องการดวงจิตของเราไปผสานกับศาตราวุธ แล้วเขาจะขึ้นครองอำนาจและกวาดล้างพวกหมาป่า" เจ้าหญิงค่อยๆอธิบาย
"แต่นั่นมันก็ดีแล้วนี่ครับ"
"นั่นมันนานมาแล้วนะ ตอนนี้พวกหมาป่าและจิ้งจอกได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว มีแต่พวกผู้อาวุโสนั่นแหละ ที่ยังคิดอยากจะเป็นใหญ่่เหนือพวกหมาป่า เธอไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมเธอถึงเข้าเขตป่ามาได้โดยไม่ถูกตามล่าน่ะ"
"จริงด้วย.." มินฮยอนนึกได้ ว่าตลอดระยะทางที่เขาวิ่งเข้าป่ามานั้น ไม่มีพวกหมาป่าวิ่งตามเขาเลย ทั้งๆที่พละกำลังและความเร็วระหว่างหมาป่าและจิ้งจอกก็ไม่ได้ต่างกันมาก เผลอๆ หมาป่าอาจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ
"เป็นนักเดินทางก็ต้องช่างสังเกตหน่อยสิ" เจ้าหญิงว่ายิ้มๆ
"แต่ท่านก็ต้องอยู่ในร่างนี้ตลอดไปเหรอ แม่ของจงฮยอนบอกว่าดวงจิตของท่านกับจงฮยอนผูกพันกันนี่"
"ก็ใช่ จริงๆ มันมีวิธีแยกดวงจิตอยู่นะ แต่ก็นะ ไม่มีดวงจิตให้แยกบ่อยๆ พิธีนี้ก็เลยเลือนหายไปตามกาลเวลา ผู้คนก็เลยคิดว่าต้องทำให้ดวงจิตต้นตายไป ดวงจิตรองจึงจะได้รับการปลดปล่อย" เจ้าหญิงจันทราพูด พริบตาเดียว ก็มีหนังสือเล่มโตมาอยู่ในมือ
หนังสือเล่มนั้นดูจะใหญ่กว่าศีรษะของเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะเสียอีก
"อ่า เจอแล้ว มินฮยอน ฝากด้วยนะ" ตำราเล่มโตลอยมาทางนักเดินทาง มินฮยอนเริ่มต้นอ่านตำราอย่างตั้งใจ เจ้าหญิงแห่งจันทราเอง เมื่อเห็นว่ามินฮยอนกำลังตั้งใจอ่านตำรา จึงค่อยๆหายไป เด็กชายเผ่าเต่าหิมะคนเดิมกลับมาอีกครั้ง..
"คุณมินฮยอน... ผมไม่เข้าใจ" ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะต้องตาย กลับรอดมาได้เสียอย่างนั้น
"ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" มินฮยอนพูดโดยไม่มองหน้า
"แล้วผม... ยังต้องตายอยู่มั้ยครับ"
"คงไม่ต้องแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ฉันไม่รู้ในระหว่างที่ฉันออกไปจากป่านี่หลายเรื่องเลยด้วย"
"...."
"แต่ตอนนี้ต้องปล่อยดวงจิตของเจ้าหญิงในตัวเธอก่อน"
"...เอ๋"
.......................................
ภายหลัง มินฮยอนได้รู้ว่า ระหว่างที่เขากำลังฝึกฝนตัวเองเพื่อตามหาดวงจิตของเจ้าหญิงอยู่นั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมาป่าได้ตกลงทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกัน แต่มินฮยอนที่ถูกพูดกรอกหูทุกวันๆว่าพวกหมาป่าไม่ดีอย่างนั้น เลวอย่างนี้ จึงทำให้คิดว่าหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งเมื่อถูกให้ฝึกแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนผู้ฝึกก็ไม่ใช่โคร ก็ผู้อาวุโสนั่นแหละ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้เขาแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้
จนได้เจอจงฮยอนนั่นแหละนะ
"ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย" มินฮยอนเอ่ยขึ้น เมื่อเขาพาจงฮยอนที่ยังคงมีดวงจิตของเจ้าหญิงแห่งจันทราในร่างกายกลับเข้ามายังหมูบ้านอีกครั้ง และเจ้าหญิงก็ได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งสั่งให้ลงโทษผู้อาวุโสและผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว
"ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าผมยังไม่ตาย ผมยังไม่ตาย!! ฮ่าๆๆๆ" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะกระโดดกอดนักเดินทาง ก่อนจะได้สติและผละออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่วนนักเดินทางเองก็เหมือนว่าจะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงที่หูมากเป็นพิเศษ
"ทุกคนได้ยินกันแล้วนะครับ ทีนี้ ผมอยากให้ทุกคนร่วมมือกับผม"
.
.
.
พิธีแยกดวงจิตสำเร็จไปได้ด้วยดี ดวงจิตของเจ้าหญิงได้รับการปลดปล่อย ทั้งชาวเผ่าหมาป่าและเผ่าจิ้งจอกต่างพากันยกย่องให้มินฮยอนขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายจิ้งจอกคู่กับผู้นำฝ่ายหมาป่าไล ควานลิน ส่วนผู้อาวุโสจอมหลอกลวงและผู้สมรู้ร่วมคิดก็ถูกลงโทษไปตามระเบียบ
บทลงโทษของเขาไม่ได้รุนแรงอะไรมากนักหรอก เพราะเขายังนับถือผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพ เขาจึงแค่เนรเทศออกนอกป่าเท่านั้น ...อย่างน้อยๆก็ดีกว่าประหาร เขาไม่อยากจะฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น
"แบบนี้.. มันดีแล้วเหรอครับ" ยู ซอนโฮ องครักษ์ของผู้นำฝ่ายหมาป่า ควบตำแหน่งภริยาของควานลินถามขึ้น
"ผมว่าแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว" มินฮยอนตอบ พลางเหลือบไปมองเด็กชายจากเผ่าเต่าหิมะ
"อะแฮ่ม!! ถึงที่นี่จะไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่การพรากผู้เยาว์ก็มีความผิดนะครับ" ผู้นำฝ่ายหมาป่าพูดขึ้นบ้าง
"ภริยาคุณนี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ" มินฮยอนหันไปมองควานลิน ก่อนที่ทั้งสองจะส่งเสียงแง่งๆใส่กัน สร้างความตลกขบขันแก่ชาวเผ่าจิ้งจอกและหมาป่าที่มาร่วมพิธีแต่งตั้งผู้นำฝ่ายจิ้งจอก
"จงฮยอนๆ เราว่าเราไปทางนู้นกันเถอะ เราหิวแล้ว" ซอนโฮเดินมาดึงแขนจงฮยอนให้อยู่ห่างๆจากผู้ใหญ่ใจบาปทั้งสอง
"อ่า.. โอเค ไปก็ไป" เด็กชายเผ่าเต่าหิมะพยักหน้าหงึกหงัก พลางเดินตามแรงดึงไป
บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีใครต้องเสียชีวิต คนผิดโดนลงโทษ... แบบนี้แหละ ดีแล้ว
END.....
เหรอออออออออออออออออออออออออออออออ
.................................................
สองปีผ่านไป...
"แม่!!! พ่อ!!!! ผมกลับมาแล้วววววววววววววววววว!!!!!!!!"
"ใครมาตะโกนลั่น--จงฮยอน!!!" มินฮยอนมองสามพ่อแม่ลูกกำลังกอดกันอยู่หน้าบ้าน คือลืมไปหรือเปล่าว่าเขาไม่ชอบอากาศเย็น ถ้าปล่อยเขาไว้ข้างนอกนานๆเขาคงจะต้องแข็งตายแน่ๆ
ใช่สิ เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษอย่างเต่าหิมะนี่
"ลูกยังมีชีวิต ขอบคุณพระเจ้า แต่ทำไม..."
"ไว้ค่อยเล่านะพ่อ ตอนนี้ให้คุณมินฮยอนเข้าบ้านก่อนเถอะ ก่อนที่เขาจะแข็งตาย" ขอบคุณจงฮยอนที่ยังไม่ลืมว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้นะ
.
.
.
"แบบนี้นี่เอง... " เต่าหิมะผู้พ่อพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ
"เหมือนลูกยังเล่าไม่หมดนะจงฮยอน ปิดอะไรอยู่รึเปล่า" แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่ สามารถจับผิดลูกได้ตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
คุณไม่สามารถโกหกคนเป็นแม่ได้พอๆกับการโกหกตัวเอง ...จริงๆนะ
"แม่... คือว่า" จงฮยอนอ้ำอึ้ง พลางมองมินฮยอนสลับกับหน้าคนเป็นแม่
"เข้าใจแล้ว--"
"ห้ะ??"
"เอาไปเลยคุณนักเดินทาง แม่ยกให้" ผู้ชายในบ้านทั้งสองคนได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก แม่ของเขาพูดเรื่องอะไรอยู่กันนะ
"จะเอาอะไรให้เขาอ่ะคุณ" เต่าหิมะผู้พ่อถาม
"เอ้า ก็คุณนักเดินทางเนี่ย ถ้าฉันเดาไม่ผิด คุณชอบลูกชายแม่ใช่มั้ย"
ความจริงอีกข้อคือ... แม่น่ะ เซนส์แรงมากๆๆ
"เอาเป็นว่าแม่รับรู้ ยกให้ไปเลย" มินฮยอนยิ้มกว้าง ที่เขาพาจงฮยอนกลับบ้านมาก็เพราะว่าจะมาคุยเรื่องนี้กันด้วยนั่นแหละ
"พูดถึงอะไรกันอยู่เนี่ย..." จงฮยอนผู้ซึ่งไม่เคยทันเหตุการณ์อะไรกับใครเขาได้แต่นั่งงง เขาอยากจะพูดแทรกแม่เหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ
ตอนตกลงกันทีแรกยังไม่มีเรื่องนี้ด้วยเลยนี่ มินฮยอนนี่เจ้าเล่ห์ชะมัด
"คือที่ผมจะบอกแม่ก็คือ ต่อจากนี้ผมคงจะต้องไปอยู่ที่นู่นอ่ะ"
"ไม่ทันแต่งก็จะหนีตามผู้ชายไปแล้วลูกฉัน"
"ไม่ใช่ดิแม่ ผมเป็นถึงที่ปรึกษาของผู้นำฝ่ายจิ้งจอกเลยนะ ลูกแม่โตจนมีงานทำแล้ว"
"จ้าาา โตก็โตจ้า"
"ลูกจะแต่งงานแล้วเหรอจงฮยอน" เต่าหิมะผู้พ่อหันไปถามลูกชายบ้าง
"นี่ก็ไม่ทันอะไรเขาสักที เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก" เต่าหิมะผู้เป็นแม่ตีป้าบเข้าที่ไหล่สามี พลางปรายตามองลูกชายที่นั่งทำหน้างงไม่แพ้กัน
"ช่างพวกเขาเถอะ คุณนักเดินทาง"
"เรียกผมว่ามินฮยอนเฉยๆเถอะครับ"
"โอเค คุณมินฮยอนเฉยๆ ล้อเล่นจ้ะ มินฮยอน เธอรักลูกชายฉันจริงๆเหรอ"
"สาบานด้วยตำแหน่งผู้นำฝ่ายจิ้งจอกครับ" ได้ฟังดังนั้น เต่าหิมะผู้เป็นแม่ก็ยิ้มออก ก่อนจะปรับท่าทางให้ดูป็นทางการมากขึ้น
"อยู่ที่นู่นก็ฝากเจ้าจงฮยอนมันด้วยนะ ขอบคุณที่เขายังมีชีวิต"
"จริงๆคุณมาอยู่กับเราได้นะครับ"
"ไม่ล่ะ จิ้งจอกไม่ชอบอากาศเย็น พวกเราเต่าหิมะก็ไม่ชอบอากาศร้อนเหมือนกัน อีกอย่างคุณคนนี้เขาต้องดูแลหมู่บ้านด้วยน่ะ ถ้าไม่อยู่นี่แย่เลย" มินฮยอนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ สักพักทั้งเต่าหิมะผู้พ่อและแม่ก็แยกย้ายกันไปทำงาน
"ร้ายนะคุณ"
"แบบนี้แหละ ดีแล้ว"
ใช่.. แบบนี้แหละ ดีแล้ว
-----------------------------
END (จริงๆละ)
-----------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น