วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

#มินเจรายปักษ์ 5th Theme - EYES

----------------------

ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้ตาบอด...ผมจะได้เจอคุณไหม?

----------------------

วันหนึ่งกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ หิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วท้องถนนหนทาง รวมไปถึงตึกสูงและบ้านเรือน มองไปทางไหนก็เป็นสีขาวโพลน ทั้งดูสงบ และโดดเดี่ยว ท่ามกลางหิมะสีขาวสว่าง และอากาศอุณหภูมิติดลบ ก็ยังคงมีผู้คนเดินขวักไขว่ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน บ้างก็ไปทำงาน บ้างก็ไปโรงเรียน บ้างก็แค่ออกมาซื้อหนังสือพิมพ์สักเล่มกลับไปนอนอ่านที่บ้าน หรือซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าให้แก่คนในครอบครัว


ผู้คนในเมืองใหญ่ก็แบบนี้ เร่งรีบ และต่างก็มีชีวิตที่ส่วนตัว


เช่นเดียวกับเขา ที่ซึ่งกำลังรีบร้อนเพราะอีกไม่กี่นาที เขาจะถูกตัดเงินเดือนเพราะไปทำงานสาย ร่างเล็กที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยโค้ทตัวหนาและผ้าพันคอเดินจ้ำอยู่ริมฟุตบาทที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆอย่างเร่งรีบ ลมหายใจเหนื่อยหอบถูกพ่นออกมาเป็นไอหนาม้วนตัวตามแรงลมที่พัดผ่านไป โชคดี ที่บริษัทที่เขาทำงานอยู่นั้นไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ทำให้เขาพอจะเดินมาได้ ถนนหน้าบ้านเขาจะมีรถติดเสมอในช่วงเวลาเร่งด่วน นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะชอบใจนัก เลยเลือกที่จะเดินมาทำงานแทนการขับรถ


"เกือบไม่ทันแน่ะจงฮยอน ทำไมวันนี้สายได้ล่ะ" เพื่อนร่วมงานสาวเดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นว่าเขามาถึงที่ทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


"เราตื่นสายอ่ะ เมืื่อคืนอากาศเย็นมากเลย นอนไม่หลับ ขนาดเปิดฮีทเตอร์แล้วนะ" ร่างเล็กแขวนเสื้อโค้ทและถอดผ้าพันคอออกพลางบ่นกระปอดกระแปดถึงอากาศในเวลากลางคืนที่หนาวจับจิตจับใจ


"ฤดูหนาวที่นี่ก็แบบนี้แหละ ทำใจนะ" เพื่อนสาวตบบ่าเขาเบาๆ จงฮยอนได้แต่ยักไหล่ ก่อนจะตรงเข้าประจำที่โต๊ะทำงานที่ติดจะรกอยู่เสมอของเขา


"ฉันว่านายควรจัดโต๊ะทำงานของนายได้แล้วนะ รกมากๆ" เพื่อนสาววางแก้วกาแฟร้อนควันลอยฟุ้งลงบนโต๊ะ จงฮยอนผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณแล้วจิบกาแฟแก้วนั้นช้าๆ เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น


"โต๊ะเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่ ลิซ่าไปทำงานเถอะ เดี๋ยวบอสดุเอานะ"


"ค่าา ตั้งใจทำงานล่ะ"


"เธอก็ด้วย"

...................................

ช่วงเวลาแห่งการทำงานและเอกสารได้ผ่านพ้นไปจนถึงเวลาที่ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ซึ่งนั่นหมายถึง เวลาเลิกงานของเขา ...จงฮยอนเดินเอื่อยๆกลับบ้าน เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ที่บ้านมีสมาชิกคือเขาแค่คนเดียว จงฮยอนไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่สิ ต้องบอกว่าเคยมีสัตว์เลี้ยง แต่ตอนนี้เจ้าเพื่อนร่วมบ้านหนึ่งเดียวของเขาได้ตายจากไปหลายปีแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะเลี้ยงอะไรอีก


เพราะแบบนั้น บ้าน ของเขาจึงไม่อาจจะเรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปากนัก บ้านของเขาว่างเปล่า ไม่มีความทรงจำอะไรที่เมื่อนึกถึงแล้วจะชวนให้อบอุ่นหัวใจ เขาตัวคนเดียวมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนเด็กก็แค่เดินทางไปโรงเรียน แล้วก็กลับบ้าน พอโตมาก็ยังแค่เดินทางไปทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ชีวิตวนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ถามว่าเขาเบื่อมั้ย คงจะต้องตอบว่าเบื่อจนชินชาไปแล้ว เพราะตราบใดที่เขายังอาศัยและทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ยังคงต้องเบื่อวิถีชีวิตแบบนี้ต่อไปจนกว่าเขาจะเกษียณ หรือว่าตายก่อนล่ะนะ


ฉับพลัน นัยน์ตาเรียวก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่ง เขาคงจะไม่ติดใจอะไรและเดินต่อเพื่อกลับบ้าน ถ้าชายคนนั้นไม่ได้กำลังยิ้ม... เขายิ้มให้อะไรกันแน่ ยิ้มให้อากาศอันหนาวเหน็บ ยิ้มให้กับหิมะที่โปรยปราย หรือยิ้มให้กับแสงดาวที่ส่องประกายในเวลากลางคืน


รู้ตัวอีกที.... เขาก็มาหยุดยืนตรงหน้าชายคนนั้นแล้ว


จงฮยอนจ้องเข้าไปในดวงตาเลื่อนลอยของชายที่นั่งอยู่บนม้านั่ง นัยน์ตาสีขุ่นบ่งบอกให้รู้ว่าชายตรงหน้าสูญเสียการมองเห็น.. แต่ถ้าเขาไม่ได้ยิ้มให้หิมะสีขาว หรือดวงดาวนับพัน เขายิ้มให้อะไรกันแน่นะ...


จงฮยอนยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อคนตรงหน้าเริ่มร้องเพลง น้ำเสียงของเขาดีทีเดียว หวานใสและกังวาน จงฮยอนยืนฟังนิ่งๆจนเขาร้องเพลงจบ จึงเริ่มปรบมือให้เพื่อชมเชย


"เสียงคุณเพราะ"


"อ่า ขอบคุณครับ คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" ชายตาบอดลูบท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาได้ยินเขาร้องเพลงในเวลาแบบนี้


"ก็..ตั้งแต่ที่ผมเห็นว่าคุณยิ้ม คุณยิ้มให้กับอะไรเหรอครับ" จงฮยอนถามขึ้น เขาไม่คิดว่าในเวลาแบบนี้จะมีอะไรให้เขายิ้มได้ นอกจากการโถมตัวลงบนเตียงนุ่มๆและห่มผ้าอุ่นๆที่บ้าน


"ผมยิ้มให้กับคู่รักที่กำลังฉลองงานแต่งอยู่ในโบสถ์ครับ" คำตอบที่จงฮยอนได้รับ กลับทำให้เขาขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก คู่รักในโบสถ์? มีโบสถ์อยู่แถวนี้ก็จริง แต่เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกว่ากำลังมีคนกำลังจัดงานแต่งงานเลยนี่


"คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่ามีคนกำลังจัดงานแต่งงาน" ชายตาบอดคนนั้นยิ้ม ก่อนจะตบลงบนที่ว่างข้างๆตัว


"มานั่งด้วยกันสิคุณ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง" ร่างเล็กค่อยๆเดินไปนั่งข้างๆชายตาบอดคนนั้น และเมื่อชายตาบอดรู้ว่าเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มเล่าเรื่องของเขา


"ผมตาบอด" เขาเกริ่นขึ้น


"ผมคิดว่าคุณคงจะรู้ ว่าคนตาบอดน่ะมองไม่เห็น แน่นอนใครๆก็รู้"


"แต่เชื่อมั้ยครับ เมื่อสูญเสียสภาพการมองเห็นไปแล้ว ผมกลับได้รับรู้สิ่งต่างๆ จากทั้งการฟัง การได้กลิ่น การสัมผัส หรือถูกสัมผัส ผมใช้ประโยชน์จากประสาทสัมผัสที่เหลือนี้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นคำตอบที่ว่าทำไมผมถึงรู้ว่ากำลังมีงานแต่งงานอยู่ในตอนนี้"


"ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ" จงฮยอนหันไปมองทางโบสถ์ที่ว่า ที่นั่นมีแสงสี ใช่ แต่มันอาจจะไม่ใช่งานแต่งก็ได้นี่


"คุณลองหลับตาลง.. ใช้หูฟังเสียงรอบตัวดูสิ แล้วคุณจะรู้" ในทีแรก จงฮยอนยังไม่ไว้ใจคนตรงหน้านัก แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองไปข้างหน้า ที่อาจจะมืดมิดหรือเลือนลาง


เสียงบรรเลงของดนตรีดังแว่วเข้ามาให้โสตประสาทเมื่อหลับตาลง เป็นเพลงที่ใช้ในงานแต่งเท่านั้นเสียด้วย เขาใจแล้วว่าทำไมคนข้างๆเขาถึงได้รู้


"เข้าใจแล้วครับ" จงฮยอนลืมตาขึ้น


"ฮะๆๆ ผมไม่คิดว่าคุณจะทำจริงๆนะเนี่ย" ชายตาบอดหัวเราะเบาๆ


"ทำไมล่ะครับ" มีเรื่องให้เขางงอีกแล้ว นัยน์ตาเรียวมองหน้าชายตาบอดที่ยังคงยิ้มอยู่ เขายิ้มสวย ใช่ นอกจากร้องเพลงเพราะก็รอยยิ้มนี่แหละ ที่ทำให้เขาติดใจชายคนนี้


"เพราะเขาคิดว่าผมเพ้อเจ้อน่ะสิ เขาเห็นผมนั่งอยู่คนเดียวก็คิดไปถึงไหนแล้ว ผมแค่มาเดินเล่นเท่านั้นเอง" ชายตาบอดพูดพลางโบกไม้เท้าไว้สำหรับนำทางในมือไปมา จงฮยอนลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น


"ผมขอถามชื่อคุณได้มั้ยครับ"


"ผมชื่อมินฮยอน ฮวังมินฮยอน" จงฮยอนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะพูดต่อ


"คุณมินฮยอน ตาของคุณเป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วครับ" จงฮยอนถามเบาๆ เพราะเขาคิดว่า บางที คนตรงหน้าเขาอาจจะโกรธ


"ตาของผมเหรอ ก็สักสามปีได้แล้วมั้ง ผมประสบอุบัติเหตุน่ะ"


"อ่า.. ขอโทษนะครับ" จงฮยอนกุมมือตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี


"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมาก" มินฮยอนโบกมือไปมาตรงหน้าตัวเอง เพราะไม่อาจเห็นว่าคู่สนทนาจะกำลังมองเขาอยู่หรือไม่


"คุณมาที่นี่ทุกวันเลยรึเปล่าครับ" มินฮยอนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ


"ผมเดินไปเรื่อยๆน่ะครับ อยากไปไหนก็เรียกรถ หรือขอเขาติดรถไป อ่อ ผมไม่มีบ้านหรอกนะ" จงฮยอนทำท่าคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง ที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพูดกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก


"คุณ... มาอยู่กับผมมั้ยครับ"


................................


การต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ไม่ใช่สิ่งที่คิมจงฮยอนชินชากับมัน เรียกได้ว่านี่เป็นอะไรบางอย่าง ที่จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป... ไม่มากก็น้อย

"คุณนั่งนี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้" จงฮยอนพูด ก่อนจะเดินเข้าครัวหลังจากพามินฮยอนนั่งลงบนโซฟาตัวเล็ก


"ขอบคุณครับ แต่คุณ.. แน่ใจเหรอครับว่าจะให้ผมอยู่ด้วย" มินฮยอนถามขึ้นพลางจิบน้ำที่คนตัวเล็กเอามาให้


"ผมอยู่คนเดียว ที่นี่ก็บ้านของผมด้วย ผมจะพาใครมาอยู่ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ครับ"


"มันแปลกที่ว่าคนที่คุณพามาอยู่ด้วยเป็นคนเร่ร่อนแถมยังตาบอดด้วยนี่แหละครับ"


"ฮะๆๆๆ ผมคงเหงามากมั้ง มีเพื่อนมาอยู่ด้วยก็คงจะดีเหมือนกัน อีกอย่าง ดูๆแล้วคุณคงไม่ใช่ขโมย" จงฮยอนเอนตัวพิงพนักโซฟา พลางหลับตาลงช้าๆ


"ผมไม่คุ้นแถวนี้เลยนะ ถึงผมขโมยจริงก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้" จงฮยอนยิ้มให้กับคำพูดฉะฉานของมินฮยอน ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้ สำหรับคนที่มีเพื่อนน้อยอย่างเขา การเปิดรับเพื่อนใหม่ก็ยังคงเป็นเรื่องยาก แต่เพราะอะไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้ เขาถึงเปิดใจให้ชายตาบอดที่เพิ่งเจอกันได้


คงเพราะถูกชะตาล่ะมั้ง... ก็แปลกดี


"ฝากตัวด้วยนะครับ คุณมินฮยอน"


"ผมต่างหากต้องพูดคำนั้น ฝากตัวด้วยครับ คุณจงฮยอน"







.......................................







นับจากวันนั้นก็ผ่านมาได้อีกห้าปี ไม่น่าเชื่อว่าเขาและชายตาบอดข้างถนนจะสามารถอยู่ด้วยกันได้นานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่า เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นไปด้วย ทั้งสองคนสนิทกันกว่าเมื่อก่อนมากๆ และจงฮยอนก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้ว มินฮยอนนั้นแก่กว่าตัวเองถึงสองปีแถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแคล่วพอๆกับเจ้าของภาษาด้วย


"พี่มินฮยอน อยากออกไปไหนมั้ยครับ" จงฮยอนวางจานข้าวลงบนโต๊ะทั้งของเขาและของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กที่กลายเป็นที่ประจำของอีกคนไปแล้ว


"ไปไหนดีล่ะ วันนี้หยุดเหรอจงฮยอน" มินฮยอนถามพลางอ้าปากรับข้าวจากช้อนในมือเล็ก


"ช่ายยย วันนี้วันหยุดผม"


"ได้หยุดแล้วก็ต้องพักผ่อนสิ พี่ว่าเราอยู่บ้านเถอะ" จงฮยอนพยักหน้า สำหรับเขา ยังไงก็ได้อยู่แล้ว บางที นอนอยู่บ้านแล้วดูหนังหรืออ่านหนังสือสักเล่มก็ไม่เลว


"เอางั้นก็ได้ครับ" เมื่อจงฮยอนป้อนข้าวชายตาบอดจนหมดแล้วก็หันมากินของตัวเองบ้าง การดูแลคนตาบอดของเขาไม่ง่ายนัก เพราะว่ามินฮยอนไม่คุ้นชินกับโครงสร้างของบ้าน บางทีก็เข้าห้องครัวเพราะนึกว่าเป็นห้องนอน ช่วงแรกๆจึงทำให้เขาวุ่นวายพอสมควร ต่อมา เมื่อมินฮยอนชินกับบ้านของเขาแล้ว งานของเขาก็น้อยลงนิดหน่อย มินฮยอนสามารถทำงานเล็กๆน้อยๆได้ อย่างเช่นรับโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งร้องเพลงกล่อมเขาเวลาที่เขาหนาวจนนอนไม่หลับ


"พี่อยากเห็นหน้าเราจัง" จงฮยอนหันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้า แล้วจับมือใหญ่ให้มาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง


"จินตนาการเอานะครับ จับได้ตามสะดวกเลย" พูดเท่านั้น มือใหญ่ของคนเป็นพี่ก็ไล้ไปทั่วใบหน้าเล็ก จงฮยอนเองก็เอาคางเกยตักมินฮยอนไว้ แล้วปล่อยให้มืออุ่นลูบไปลูบมา


"หน้าตาดีนะเรา"


"ฮะๆๆ ผมต้องเขินมั้ยอ่ะ" จงฮยอนที่กำลังเคลิ้มเพราะสัมผัสอุ่นๆบนใบหน้าพูดขึ้น เอาจริงๆ เขาแทบจะหลับคาตักมินฮยอนทีเดียว คนอะไร มือก็อุ่น ตักก็อุ่น เป็นความอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก


"เขินให้หน่อยก็ดีนะ"


"ฮะๆๆ พี่ลูบจนหนังกำพร้าผมจะหลุดอยู่แล้วนะ"


"เว่อร์น่า ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย" ฝ่ามือของมินฮยอนขยี้เข้าที่หัวกลมของคนเด็กกว่าอย่างหมั่นเขี้ยว


"จงฮยอนอ่า" มินฮยอนประคองใบหน้าของคนเป็นน้องอย่างแผ่วเบา จงฮยอนมองดวงตาสีขุ่นอย่างงงๆ ก่อนจะงงหนักเข้าไปอีก เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเบาบางบนริมฝีปาก เบาบาง... แต่อบอุ่น


"ไม่ขอโทษนะ เพราะตั้งใจ" จงฮยอนเบิกตากว้าง ความร้อนไล่ลามขึ้นมาบนใบหน้า มือเล็กแตะอวัยวะที่ถูกฉวยโอกาสอย่างตกใจ พลางมองค้อนคนที่กำลังทำหน้าระรื่น


ถ้ามินฮยอนไม่ได้ตาบอดล่ะก็... เขาอาจจะเห็นว่าจงฮยอนกำลังเขินจนหน้าแดงก่ำ


"พี่นี่นะ..." จงฮยอนตีเข้าที่ตักอุ่นที่เขาเพิ่งซบไปไม่นานดังเพี้ยะ เพื่อลงโทษคนขี้แกล้ง


"โอ๊ยยยย เจ็บนะ" มินฮยอนร้องโอดโอยที่ดูยังไงก็เป็นการแกล้งทำ ทำให้จงฮยอนมอบฝ่ามืออรหันต์ให้อีกหลายที


"มาทำแบบนี้ได้ไง ผมไม่ใช่แฟนพี่นะ"


"ก็จงฮยอนไม่ขอพี่เป็นแฟนสักทีอ่ะ" เขาล่ะอยากจะบ้าตาย เกิดมายี่สิบจะสามสิบแล้วยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แต่กลับโดนบอกว่าให้เป็นฝ่ายขอซะงั้น


"งั้นพี่ก็รอต่อไปเถอะครับ" ถึงยังไงเขาก็ไม่ขอคนตรงเป็นแฟนแน่นอน แปลกนะ ตาก็มองไม่เห็นแต่กลับรู้ตลอดว่าเขาอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือแม้แต่เขากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นคนตาบอดที่แปลกจริงๆ


"พี่อยากเห็นหน้าเราจัง"


"พี่ก็จับไปแล้วไง" จงฮยอนพูด ขืนให้จับอีกรอบล่ะก็ เขาได้โดนจูบจริงๆแน่


"หมายถึงหน้าเราตอนเขินต่างหาก แค่จินตนาการก็น่ารักละอ่ะ" มินฮยอนบีบหมอนในมือพลางบิดตัวไปมา ทำเอาจงฮยอนหลุดขำออกมาจนได้


"ฮ่าๆๆๆ พี่นี่เหมือนสาวน้อยเลยอ่ะ น้องมินนี่~~~~" จงฮยอนลุกไปดึงแก้มนิ่มของคนโตกว่าอย่าสนุกมือ แก้มมินฮยอนนิ่มมาก เผลอๆนิ่มกว่าแก้มเขาอีกมั้ง


"ครับน้องจงงี่~~~~~~~~~" มินฮยอนไม่ยอมแพ้ ปล่อยมือจากหมอน เปลี่ยนมาดึงแก้มนิ่มของคนตัวเล็กกว่าบ้าง


"เยอะไปพี่เยอะไป ฮื่ออ แก้มผมยานหมดแล้ว"


ฟอดด!


"เอาอีกแล้ว!!" บางที เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะคิดผิดที่รับมินฮยอนเข้ามาอยู่ในบ้าน รวมถึงอยู่ในใจด้วย คนอะไร จ้องจะลวนลามเขาอย่างเดียว ที่บอกว่าตาบอดนี่โกหกกันใช่มั้ย


ฟอดด!


"พี่มินฮยอ--" นี่แหละ เขาถึงบอกว่ามินฮยอนคงจะโกหกเรื่องตาบอด เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ มินฮยอนก็สามารถขโมยจูบเขาได้ตลอด แล้วก็อยากจะตีตัวเองให้ตายที่ไปเขินกับรสจูบของชายตาบอด


"น่ารักจังเลยยย"


"จะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าผมไม่ใช่แฟนพี่อ่ะ" ร่างเล็กตีป้าบเข้าให้ที่ไหล่กว้าง


"ขอพี่เป็นแฟนดิ"


"ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากมีแฟนหื่นกาม" จงฮยอนยักไหล่ ทั้งที่รู้ว่าอีกคนคงไม่เห็น


"ใจร้ายอ่ะ เคยได้ยินเรื่องความกลัวของคนตาบอดมั้ย"


"มันคืออะไรครับ" จงฮยอนขมวดคิ้ว ไม่บ่อยนักที่มินฮยอนจะพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับอาการตาบอด


"มันเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจเมื่อเรามองไม่เห็นน่ะ อย่างเช่นว่า.. ข้างหน้าจะมีหลุมมั้ย ข้างหลังจะมีโจรตามมามั้ย หรือแม้แต่ว่าเหนือหัวเรา จะมีอะไรหล่นลงมามั้ย มันจะระแวงไปหมดเลย"


"อืม.. ลำบากแย่เลยนะครับ"


"ก็ใช่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกด้วยนะ กลัวว่าจะดูไม่ดีสำหรับคนรอบข้าง ส่วนใหญ่ คนตาบอดจึงต้องแต่งตัวให้ดูดี"


"...."


"ที่พี่จะบอกก็คือ สำหรับพี่ สิ่งที่พี่กลัวอย่างเดียวก็คือ..."


"คือ...?"


"กลัวจงฮยอนเกลียดพี่"


"....ผมจะเกลียดพี่ทำไมครับ ในเมื่อผมให้พี่ทำแบบนี้.." มือเล็กลูบที่ใบหน้าของคนเป็นพี่เบาๆ


"แบบนี้..." จมูกรั้นฝังลงที่แก้มนิ่ม


"และแบบนี้" จบที่ปากเล็กประทับลงเบาๆบนอวัยวะเดียวกันของมินฮยอน แผ่วเบาและนุ่มนวล ก่อนจะถอนออก


"พี่ไม่ใช่แฟนเรานะ มาทำแบบนี้ได้ไงหืม"


"พี่ก็ขอผมเป็นแฟนดิ" จงฮยอนหัวเราะออกมา เมื่อได้โอกาสเอาคืนคนตาบอดจอมขี้แกล้งได้สำเร็จ


"เล่นแบบนี้เลยเหรอ"


"ฮะๆๆๆ" มินฮยอนยกมือยอมแพ้ ก่อนจะพูดต่อ





"เป็นแฟนพี่นะ"


"ตกลงครับ"




.............................................




สามปีต่อมา มินฮยอนได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายม่านตา เขากลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากที่จมอยู่นความมืดมาตลอดสิบเอ็ดปีเต็ม ตอนที่จงฮยอนได้รู้ว่าการผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดีก็ทำเอาคนตัวเล็กแทบจะวิ่งออกจากบริษัทมายังโรงพยาบาลที่เขารักษาตัวอยู่ทันที


คราวนี้แหละ.. เขาจะได้เห็นสักที ว่าจงฮยอนที่ดูแลเขามาตลอดหน้าจะเป็นยังไง


"พี่มินฮยอน!!" ร่างเล็กวิ่งเข้ามากอดเขาทันที เมื่อกลับมาเห็นว่าเขานั่งรออยู่ที่บ้าน


อ่า.. น่ารักจริงๆด้วยล่ะ


"พี่มองเห็นหน้าเราแล้วนะ จะได้เห็นหน้าเราตอนเขิน ตอนร้องไห้ ตอนยิ้ม ตอนหัวเราะ ทุกๆตอนเลยด้วย" จงฮยอนพยักหน้าหงึกหงัก


"ถ้าไม่ได้จงฮยอนพี่คงแย่เลย"


"ไม่ได้ผมอะไรล่ะ นั่นเงินพี่ทั้งนั้นอ่ะ" ในช่วงสิบเอ็ดปีก่อนได้รับการผ่าตัดม่านตา มินฮยอนก็อาศัยความสามารถด้านภาษา รับจ้างแปลเอกสารต่างๆ โดยใช้แอปอ่านหนังสือแล้วให้จงฮยอนพิมพ์ให้ ด้วยงานนี้ ทำให้มินฮยอนมีเงินเก็บเพียงพอที่จะเข้ารับการผ่าตัด


"ก็ก่อนหน้านี้ไง ขอบคุณนะครับ ทั้งที่เราก็งานยุ่งแท้ๆนะ"


"ผมเองก็อยากให้พี่กลับมามองเห็นไวๆนี่ สิบเอ็ดปีมันนานมั้ยครับ สำหรับพี่"


"จะว่านานมันก็นานนะ แต่จะว่าไวมันก็ไว พี่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเจอจงฮยอนเมื่อวานนี้เอง" มินฮยอนลูบหัวคนเป็นน้องอย่างเบามือ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากมน


"นั่นสินะครับ"


"พี่รักจงฮยอนนะ รักมากๆๆๆ ขอบคุณมากเลยนะ"


"ผมก็เหมือนกันแหละ ขอบคุณมากๆ แล้วก็.."



"รักมากๆนะครับ"

------------------------------

ตอนนี้ ผมไม่ได้ตาบอดอีกต่อไปแล้ว ผมพร้อมจะมองคุณด้วยสายตาและหัวใจ ...ตลอดไป

------------------------------


END.

........................................................................................

รายปักษ์เรื่องแรกเลยอ่ะ ติชมกันดั้ยนะคะ 5555555555555

ว่างๆ โปรโมทนิ้ดดดด เราเป็นเจ้าของเดียวกับ #มินเจแก้บน #ไม่พูดมินเจ แล้วก็ #ทูไพทูพัค นะคะ

ฝากเม้นฝากไลค์ฝากแชร์ฝากแท็กฝากทุกสิ่งเอวี่ติงจิงกาเบล สำหรับเรื่องนี้เราขอสร้างแท็กว่า...

"#ฟิคของเต้าหู้" ค่า จะรวมฟิคสั้นที่ไม่ใช่การแก้บน 5555555555 ฝากด้วยยย

รักมินเจและนิวอีสท์เยอะๆนะคะ รักฟิคเราด้วย 5555

ไปละ บ๊ายบายยย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น